โฆษณาออนไลน์กับเว็บไซต์: วิธีใช้ Google Ads และ Facebook Ads ให้เกิดผล

ในยุคดิจิทัลที่ทุกอย่างขับเคลื่อนด้วยข้อมูลและเทคโนโลยี การทำโฆษณาออนไลน์กลายเป็นหนึ่งในกลยุทธ์สำคัญที่ช่วยให้ธุรกิจเข้าถึงลูกค้าได้อย่างแม่นยำและมีประสิทธิภาพ Google Ads และ Facebook Ads เป็นสองแพลตฟอร์มที่ได้รับความนิยมสูงสุดในการโฆษณาออนไลน์ โดยแต่ละแพลตฟอร์มมีจุดแข็งที่แตกต่างกันและสามารถใช้ร่วมกันเพื่อเพิ่มโอกาสในการเข้าถึงกลุ่มเป้าหมาย

อย่างไรก็ตาม การใช้โฆษณาให้ได้ผลไม่ได้หมายความว่าเพียงแค่ลงโฆษณาแล้วจะเห็นผลลัพธ์ทันที ต้องมีการวางแผน กำหนดกลุ่มเป้าหมาย เลือกข้อความโฆษณาให้เหมาะสม และติดตามผลอย่างต่อเนื่องเพื่อให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด บทความนี้จะพาคุณไปเรียนรู้วิธีใช้ Google Ads และ Facebook Ads อย่างละเอียด ตั้งแต่การตั้งค่าพื้นฐานไปจนถึงการวัดผลและปรับปรุงแคมเปญ เพื่อให้ธุรกิจของคุณสามารถสร้างผลตอบแทนจากการลงทุน (ROI) ได้อย่างคุ้มค่าที่สุด

1. ความแตกต่างระหว่าง Google Ads และ Facebook Ads

แม้ว่า Google Ads และ Facebook Ads จะเป็นแพลตฟอร์มโฆษณาออนไลน์ที่ได้รับความนิยมสูงสุด แต่แต่ละแพลตฟอร์มมีแนวทางและจุดแข็งที่แตกต่างกัน การเลือกใช้แพลตฟอร์มที่เหมาะสมจะช่วยให้ธุรกิจสามารถเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น

หัวข้อเปรียบเทียบ Google Ads Facebook Ads
แนวทางหลัก การโฆษณาผ่านการค้นหา (Search Intent) การโฆษณาผ่านข้อมูลพฤติกรรมและความสนใจ (Behavioral & Interest-based)
ตำแหน่งการแสดงโฆษณา ผลการค้นหาของ Google, YouTube, เว็บไซต์พันธมิตร (Google Display Network) Facebook, Instagram, Messenger, Audience Network
วิธีเข้าถึงลูกค้า แสดงโฆษณาเมื่อผู้ใช้ค้นหาคีย์เวิร์ดที่เกี่ยวข้อง แสดงโฆษณาตามพฤติกรรม ความสนใจ และข้อมูลประชากรศาสตร์
เป้าหมายโฆษณา กระตุ้นให้เกิด Conversion เช่น การซื้อสินค้า การสมัครสมาชิก สร้างการรับรู้แบรนด์ การมีส่วนร่วม (Engagement) และการเข้าชมเว็บไซต์
โครงสร้างโฆษณา เน้นข้อความและคีย์เวิร์ด (Keyword-based Ads) เน้นภาพ วิดีโอ และเนื้อหาโฆษณาที่สร้างแรงดึงดูด
รูปแบบโฆษณา – Search Ads (โฆษณาข้อความ)
– Display Ads (แบนเนอร์)
– Shopping Ads (โฆษณาสินค้า)
– Video Ads (โฆษณาวิดีโอ)
– Image Ads (โฆษณารูปภาพ)
– Video Ads (โฆษณาวิดีโอ)
– Carousel Ads (ภาพเลื่อน)
– Collection Ads (แสดงสินค้าแบบเต็มจอ)
การตั้งค่าเป้าหมาย คีย์เวิร์ด, ตำแหน่งที่ตั้ง, อุปกรณ์, กลุ่มเป้าหมายที่มีพฤติกรรมเฉพาะ อายุ, เพศ, ที่อยู่, ความสนใจ, พฤติกรรมออนไลน์, Lookalike Audience
ROI (ผลตอบแทนจากการลงทุน) เหมาะสำหรับธุรกิจที่ต้องการ Conversion อย่างรวดเร็ว เหมาะสำหรับการสร้างฐานลูกค้าและสร้าง Brand Awareness
ข้อดี – เหมาะสำหรับธุรกิจที่มีความต้องการซื้อสูง
– ตรงกลุ่มเป้าหมาย เพราะโฆษณาแสดงเมื่อมีการค้นหา
– สามารถกำหนดค่าใช้จ่ายต่อคลิก (CPC) ได้
– เหมาะสำหรับธุรกิจที่ต้องการสร้างการรับรู้และเพิ่มการมีส่วนร่วม
– ค่าโฆษณาต่อการแสดงผล (CPM) มักถูกกว่า Google Ads
– สามารถทำโฆษณาที่เน้นรูปภาพและวิดีโอได้ดี
ข้อจำกัด – ค่าโฆษณาอาจแพงหากเป็นคีย์เวิร์ดยอดนิยม
– แข่งขันสูงในบางธุรกิจ
– อาจไม่ได้รับ Conversion ทันทีเหมือน Google Ads
– ต้องใช้คอนเทนต์คุณภาพสูงเพื่อให้ดึงดูดความสนใจ

ควรเลือกใช้ Google Ads หรือ Facebook Ads?

  • Google Ads เหมาะกับธุรกิจที่ต้องการให้โฆษณาแสดงเมื่อมีความต้องการซื้อชัดเจน เช่น ร้านค้าออนไลน์, ธุรกิจบริการที่คนค้นหา เช่น ช่างซ่อมรถ, โรงแรม, สินค้าเฉพาะทาง
  • Facebook Ads เหมาะกับธุรกิจที่ต้องการสร้างแบรนด์ สร้างการรับรู้ และต้องการให้คนจดจำสินค้า เช่น เสื้อผ้าแฟชั่น, สินค้าความงาม, ร้านอาหาร

หากธุรกิจต้องการ ทั้งยอดขายและการสร้างแบรนด์ การใช้ Google Ads และ Facebook Ads ควบคู่กัน จะช่วยให้เกิดผลลัพธ์ที่ดีที่สุด โดยใช้ Google Ads จับลูกค้าที่มีความต้องการซื้อ และใช้ Facebook Ads กระตุ้นการรับรู้และสร้างความสนใจในวงกว้าง

2. วิธีใช้ Google Ads ให้เกิดผล

Google Ads เป็นแพลตฟอร์มโฆษณาที่ช่วยให้ธุรกิจสามารถแสดงโฆษณาบนหน้าผลการค้นหาของ Google และเครือข่ายโฆษณาของ Google (Google Display Network) ได้อย่างมีประสิทธิภาพ การใช้งาน Google Ads ให้ได้ผลสูงสุดต้องอาศัยกลยุทธ์ที่ดี ตั้งแต่การเลือกคีย์เวิร์ด การกำหนดกลุ่มเป้าหมาย การออกแบบโฆษณา ไปจนถึงการวัดผลและปรับปรุงแคมเปญ

1. การตั้งค่าบัญชี Google Ads

การเริ่มต้นใช้งาน Google Ads ต้องมีบัญชี Google Ads ก่อน โดยสามารถสมัครได้ที่ Google Ads หลังจากสมัครเสร็จแล้ว ควรทำตามขั้นตอนเหล่านี้:

  1. เลือกประเภทแคมเปญ
    Google Ads มีหลายประเภทของแคมเปญ ได้แก่:

    • Search Ads – โฆษณาบนผลการค้นหาของ Google
    • Display Ads – โฆษณาแบนเนอร์บนเว็บไซต์เครือข่ายของ Google
    • Shopping Ads – โฆษณาสำหรับอีคอมเมิร์ซ
    • Video Ads – โฆษณาบน YouTube
    • Performance Max – แคมเปญที่ใช้ AI เพื่อโฆษณาทั่วทั้งเครือข่ายของ Google
  2. ตั้งค่าการกำหนดเป้าหมาย (Targeting)

    • กำหนด สถานที่ (Location) ที่ต้องการให้โฆษณาแสดง
    • เลือก ภาษา (Language) ให้ตรงกับกลุ่มเป้าหมาย
    • กำหนด เครือข่ายโฆษณา (Google Search, Display, YouTube ฯลฯ)

2. การเลือกคีย์เวิร์ดที่เหมาะสม

คีย์เวิร์ดเป็นหัวใจสำคัญของ Google Ads เพราะเป็นสิ่งที่ทำให้โฆษณาปรากฏเมื่อมีคนค้นหา

2.1 การใช้ Google Keyword Planner

เครื่องมือนี้ช่วยให้คุณสามารถค้นหาคีย์เวิร์ดที่เหมาะสมกับธุรกิจของคุณ โดยดูจาก:

  • ปริมาณการค้นหา (Search Volume)
  • ระดับการแข่งขัน (Competition)
  • ราคาต่อคลิก (Cost per Click – CPC)

2.2 ประเภทของคีย์เวิร์ด

  • Broad Match (คำกว้าง) – แสดงโฆษณาสำหรับคำที่เกี่ยวข้องทั้งหมด
  • Phrase Match (วลี) – แสดงโฆษณาเมื่อมีการค้นหาวลีที่กำหนด
  • Exact Match (คำตรงเป๊ะ) – แสดงโฆษณาเฉพาะเมื่อค้นหาคำที่ตรงกันพอดี

2.3 การใช้ Negative Keywords

Negative Keywords คือคีย์เวิร์ดที่ไม่ต้องการให้โฆษณาปรากฏ เช่น หากขายสินค้าราคาแพง อาจใส่คำว่า “ฟรี” เป็น Negative Keyword

3. การเขียนข้อความโฆษณาที่ดึงดูด

ข้อความโฆษณา (Ad Copy) ควรมีองค์ประกอบที่สำคัญดังนี้:

  • พาดหัว (Headline) – ควรสั้น กระชับ และตรงประเด็น เช่น “ลด 50% วันนี้เท่านั้น!”
  • รายละเอียดโฆษณา (Description) – อธิบายคุณสมบัติและประโยชน์ของสินค้า/บริการ
  • Call to Action (CTA) – เช่น “ซื้อเลย”, “สมัครสมาชิก”, “ทดลองใช้ฟรี”
  • ส่วนขยายโฆษณา (Ad Extensions) – เพิ่มข้อมูลเพิ่มเติม เช่น หมายเลขโทรศัพท์ ลิงก์ไปยังหน้าเฉพาะ หรือที่ตั้งร้านค้า

4. การตั้งค่างบประมาณและการเสนอราคา (Bidding Strategy)

Google Ads มีตัวเลือกการเสนอราคาหลายรูปแบบเพื่อให้เหมาะกับเป้าหมายของคุณ

  • Manual CPC – ควบคุมค่าใช้จ่ายต่อคลิกเอง
  • Maximize Clicks – ให้ Google ปรับราคาเสนอเพื่อให้ได้จำนวนคลิกมากที่สุด
  • Target CPA (Cost Per Acquisition) – ตั้งราคาต่อหนึ่ง Conversion ที่ต้องการ
  • Target ROAS (Return on Ad Spend) – ปรับราคาตามผลตอบแทนที่คาดหวัง

5. การวัดผลและปรับปรุงโฆษณา

เพื่อให้โฆษณามีประสิทธิภาพสูงสุด ควรติดตามผลลัพธ์และปรับปรุงแคมเปญอยู่เสมอ

5.1 การใช้ Google Analytics และ Google Ads Reports

  • ติดตามอัตราการคลิก (CTR) และอัตรา Conversion
  • วิเคราะห์ว่าคีย์เวิร์ดใดสร้างผลลัพธ์ที่ดีที่สุด
  • ดูพฤติกรรมของผู้เข้าชมเว็บไซต์

5.2 การทำ A/B Testing

  • ทดสอบพาดหัวโฆษณาหลายแบบ
  • ทดสอบหน้า Landing Page ที่แตกต่างกัน
  • ทดลองใช้คีย์เวิร์ดที่หลากหลาย

5.3 การปรับปรุง Landing Page

โฆษณาที่ดีต้องพาผู้ใช้ไปยังหน้า Landing Page ที่ตอบโจทย์

  • โหลดเร็ว
  • มี Call to Action ที่ชัดเจน
  • ใช้งานง่ายทั้งบนมือถือและคอมพิวเตอร์

Google Ads เป็นเครื่องมือที่ทรงพลังในการเพิ่มยอดขายและขยายฐานลูกค้า แต่การใช้งานให้ได้ผลต้องมีการวางแผนที่ดี ตั้งแต่การเลือกคีย์เวิร์ด การเขียนข้อความโฆษณาที่น่าสนใจ การตั้งงบประมาณและกลยุทธ์การเสนอราคา ไปจนถึงการวัดผลและปรับปรุงอย่างต่อเนื่อง หากทำได้อย่างถูกต้อง โฆษณาของคุณจะสามารถสร้างผลลัพธ์ที่คุ้มค่าจากการลงทุนได้

3. วิธีใช้ Facebook Ads ให้เกิดผล

Facebook Ads เป็นเครื่องมือโฆษณาที่ทรงพลังสำหรับธุรกิจทุกขนาด เนื่องจากสามารถเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้อย่างแม่นยำโดยอาศัยข้อมูลประชากรศาสตร์ ความสนใจ และพฤติกรรมของผู้ใช้ การใช้ Facebook Ads ให้เกิดผลต้องอาศัยการวางแผนที่ดี ตั้งแต่การเลือกเป้าหมายโฆษณา การตั้งค่ากลุ่มเป้าหมาย การออกแบบโฆษณา ไปจนถึงการวิเคราะห์ผลลัพธ์และปรับปรุงแคมเปญ

1. การตั้งค่าบัญชีและเลือกวัตถุประสงค์โฆษณา

การตั้งค่าบัญชี Facebook Ads

  1. ไปที่ Facebook Ads Manager
  2. คลิก “Create Ad” เพื่อเริ่มสร้างโฆษณา
  3. เลือกบัญชีโฆษณา และกำหนดรายละเอียดเบื้องต้น เช่น สกุลเงินและเขตเวลา

การเลือกวัตถุประสงค์โฆษณา

Facebook Ads มีวัตถุประสงค์หลัก 3 ประเภท ได้แก่

  • Awareness (การรับรู้แบรนด์) – เพิ่มจำนวนคนที่เห็นโฆษณา
  • Consideration (การพิจารณา) – กระตุ้นให้คนมีส่วนร่วม เช่น คลิกเข้าเว็บไซต์
  • Conversion (การกระทำ) – เพิ่มยอดขายหรือให้คนทำสิ่งที่ต้องการ เช่น ซื้อสินค้า หรือสมัครสมาชิก

ตัวอย่างการเลือกวัตถุประสงค์:

  • หากต้องการเพิ่มยอดขายในเว็บไซต์ → เลือก Conversions
  • หากต้องการให้คนเข้ามามีส่วนร่วมกับโพสต์ → เลือก Engagement
  • หากต้องการโปรโมตร้านค้าในพื้นที่ → เลือก Store Traffic

2. การตั้งค่ากลุ่มเป้าหมาย (Target Audience)

Facebook Ads ช่วยให้คุณสามารถกำหนดเป้าหมายโฆษณาได้อย่างละเอียด โดยแบ่งออกเป็น 3 ประเภทหลัก

2.1 Core Audience (กลุ่มเป้าหมายหลัก)

คุณสามารถเลือกเป้าหมายตาม

  • Demographics (ข้อมูลประชากร) – อายุ เพศ การศึกษา อาชีพ
  • Location (ที่อยู่) – เลือกเป็นเมือง ประเทศ หรือรัศมีรอบสถานที่
  • Interests (ความสนใจ) – เช่น กีฬา เทคโนโลยี แฟชั่น
  • Behavior (พฤติกรรม) – เช่น ผู้ที่ชอบซื้อสินค้าออนไลน์

2.2 Custom Audience (กลุ่มเป้าหมายที่กำหนดเอง)

ใช้สำหรับรีมาร์เก็ตติ้งไปยังผู้ที่เคยมีปฏิสัมพันธ์กับธุรกิจ เช่น

  • คนที่เคยเข้าเว็บไซต์ (ต้องติดตั้ง Facebook Pixel)
  • คนที่เคยดูวิดีโอโฆษณา
  • คนที่เคยมีส่วนร่วมกับเพจหรืออินสตาแกรม

2.3 Lookalike Audience (กลุ่มเป้าหมายที่คล้ายคลึงกัน)

Facebook ใช้ AI วิเคราะห์ข้อมูลจากลูกค้าปัจจุบัน และค้นหาผู้ใช้ใหม่ที่มีพฤติกรรมคล้ายกัน วิธีนี้ช่วยเพิ่มโอกาสในการเข้าถึงลูกค้าใหม่ที่มีศักยภาพ

3. การออกแบบโฆษณา (Ad Creative)

3.1 การเลือกประเภทโฆษณา

Facebook Ads มีรูปแบบให้เลือกหลายแบบ เช่น

  • Image Ads – โฆษณารูปภาพเดี่ยว เหมาะสำหรับข้อความที่สั้นและตรงประเด็น
  • Video Ads – โฆษณาวิดีโอที่ดึงดูดความสนใจได้ดี
  • Carousel Ads – แสดงภาพหรือวิดีโอหลายรายการในโฆษณาเดียว
  • Slideshow Ads – ใช้ภาพหลายภาพเพื่อสร้างวิดีโอสั้น
  • Collection Ads – แสดงสินค้าหลายชิ้นพร้อมปุ่ม “Shop Now”

3.2 การเขียนข้อความโฆษณาให้ดึงดูด

  • ใช้ ภาษาที่เข้าใจง่ายและตรงไปตรงมา
  • เพิ่ม Call-to-Action (CTA) เช่น “ซื้อเลย” หรือ “ลงทะเบียนตอนนี้”
  • ใช้ ตัวเลขหรือข้อเสนอพิเศษ เช่น “ลด 30% วันนี้เท่านั้น”
  • ทดสอบ A/B Testing โดยเปลี่ยนหัวข้อ หรือรูปภาพเพื่อดูว่าแบบไหนให้ผลลัพธ์ดีที่สุด

4. การตั้งค่างบประมาณและการเสนอราคา

4.1 การเลือกประเภทงบประมาณ

  • Daily Budget (งบประมาณรายวัน) – จำกัดค่าใช้จ่ายต่อวัน
  • Lifetime Budget (งบประมาณตลอดแคมเปญ) – ตั้งงบรวมที่ใช้ได้ตลอดช่วงเวลาโฆษณา

4.2 การเลือกกลยุทธ์การเสนอราคา

  • Lowest Cost (อัตโนมัติ) – ระบบปรับราคาให้เหมาะสมที่สุดโดยใช้เงินต่ำสุด
  • Bid Cap (กำหนดราคาสูงสุด) – ควบคุมค่าใช้จ่ายต่อคลิกหรือการกระทำ

5. การวัดผลและปรับปรุงโฆษณา

5.1 การใช้ Facebook Pixel

Facebook Pixel เป็นโค้ดที่ติดตั้งบนเว็บไซต์เพื่อช่วยติดตามพฤติกรรมของผู้ใช้ เช่น

  • ใครเข้ามาดูสินค้าแต่ยังไม่ซื้อ
  • ใครซื้อสินค้าแล้ว
  • ใครสมัครสมาชิก

5.2 การดูสถิติจาก Facebook Ads Manager

ตัวชี้วัดสำคัญที่ควรติดตาม ได้แก่

  • CTR (Click-Through Rate) – อัตราการคลิก
  • CPC (Cost Per Click) – ต้นทุนต่อคลิก
  • Conversion Rate – อัตราการแปลงลูกค้า
  • ROAS (Return on Ad Spend) – ผลตอบแทนจากค่าโฆษณา

5.3 การทดสอบ A/B Testing

ลองเปลี่ยน ภาพ วิดีโอ หัวข้อโฆษณา CTA หรือกลุ่มเป้าหมาย แล้วดูว่าแบบไหนให้ผลลัพธ์ดีที่สุด

6. เคล็ดลับการใช้ Facebook Ads ให้มีประสิทธิภาพ

  • ใช้วิดีโอแทนรูปภาพ – วิดีโอมีแนวโน้มดึงดูดความสนใจมากกว่า
  • ทำโฆษณารีมาร์เก็ตติ้ง – ให้ความสำคัญกับคนที่เคยมีปฏิสัมพันธ์กับแบรนด์
  • จับตาดูค่าใช้จ่าย – ตั้งค่า Bid Cap ถ้าต้องการควบคุมงบ
  • ใช้ Lookalike Audience – หาลูกค้าใหม่ที่มีพฤติกรรมคล้ายลูกค้าปัจจุบัน
  • อัปเดตโฆษณาสม่ำเสมอ – เปลี่ยนภาพหรือข้อความโฆษณาทุก 2-4 สัปดาห์

Facebook Ads เป็นเครื่องมือที่ทรงพลังสำหรับการโฆษณาออนไลน์ การใช้โฆษณาให้เกิดผลต้องเริ่มจากการตั้งค่าเป้าหมายที่เหมาะสม เลือกกลุ่มเป้าหมายที่ตรงจุด ออกแบบโฆษณาที่ดึงดูด และติดตามผลลัพธ์เพื่อนำมาปรับปรุงอย่างต่อเนื่อง หากนำแนวทางข้างต้นไปใช้ จะช่วยให้ธุรกิจของคุณได้รับผลตอบแทนที่คุ้มค่าจากการลงทุนในโฆษณาบน Facebook

4. ควรเลือก Google Ads หรือ Facebook Ads?

การเลือกใช้ระหว่าง Google Ads และ Facebook Ads ขึ้นอยู่กับเป้าหมายของธุรกิจ ประเภทของผลิตภัณฑ์ หรือบริการ รวมถึงพฤติกรรมของกลุ่มเป้าหมาย โดยทั้งสองแพลตฟอร์มมีข้อดีที่แตกต่างกัน ดังนี้

1. เมื่อควรเลือก Google Ads

Google Ads เหมาะสำหรับธุรกิจที่ต้องการเข้าถึงลูกค้าที่กำลังมองหาสินค้าหรือบริการโดยตรง โฆษณาจะปรากฏเมื่อผู้ใช้ค้นหาคำที่เกี่ยวข้อง ซึ่งช่วยให้สามารถเข้าถึงลูกค้าในช่วงเวลาที่มีแนวโน้มจะตัดสินใจซื้อสูง

ข้อดีของ Google Ads

  • เข้าถึงลูกค้าตรงกลุ่ม – แสดงผลตามคำค้นหาที่เกี่ยวข้อง
  • เหมาะสำหรับการขายสินค้าและบริการที่มีดีมานด์สูง – เช่น โรงแรม อสังหาริมทรัพย์ สินค้าอุปโภคบริโภค
  • ROI สูงหากตั้งค่าดี – การกำหนดคีย์เวิร์ดที่เหมาะสมจะช่วยให้ต้นทุนต่อคลิก (CPC) คุ้มค่า
  • ครอบคลุมเครือข่ายกว้าง – นอกจาก Search Ads ยังมี Display Ads, YouTube Ads และ Shopping Ads

เมื่อควรใช้ Google Ads

  • ธุรกิจที่ต้องการให้ลูกค้าเจอสินค้าหรือบริการทันทีที่ค้นหา
  • สินค้าและบริการที่มีดีมานด์อยู่แล้ว เช่น ประกันภัย บริการทางการเงิน
  • อีคอมเมิร์ซที่ต้องการเพิ่มยอดขายจากผู้ที่มีแนวโน้มจะซื้อ

2. เมื่อควรเลือก Facebook Ads

Facebook Ads เหมาะสำหรับการสร้างการรับรู้แบรนด์และกระตุ้นความสนใจจากกลุ่มเป้าหมายที่อาจยังไม่เคยค้นหาสินค้าหรือบริการมาก่อน โดยใช้ข้อมูลประชากรศาสตร์ (Demographics) และพฤติกรรมผู้ใช้มาช่วยในการกำหนดเป้าหมาย

ข้อดีของ Facebook Ads

  • การกำหนดเป้าหมายแม่นยำ – สามารถเลือกกลุ่มเป้าหมายตามอายุ เพศ ที่อยู่ ความสนใจ และพฤติกรรม
  • เหมาะสำหรับการสร้าง Brand Awareness – ดีสำหรับธุรกิจที่ต้องการเพิ่มการรับรู้และความน่าสนใจของแบรนด์
  • รองรับเนื้อหาที่หลากหลาย – สามารถใช้รูปภาพ วิดีโอ สตอรี่ และโฆษณาแบบอินเทอร์แอคทีฟ
  • เหมาะสำหรับการทำ Retargeting – สามารถใช้ Custom Audience และ Lookalike Audience เพื่อเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายที่คล้ายคลึงกับลูกค้าปัจจุบัน

เมื่อควรใช้ Facebook Ads

  • ธุรกิจที่ต้องการสร้างการรับรู้แบรนด์หรือกระตุ้นความสนใจของกลุ่มเป้าหมาย
  • สินค้าที่ต้องการการนำเสนอภาพ เช่น เสื้อผ้า เครื่องสำอาง สินค้าแฟชั่น
  • ธุรกิจที่ต้องการสร้างชุมชนหรือเพิ่มการมีส่วนร่วม เช่น คอร์สออนไลน์ อีเวนต์

3. การใช้ทั้งสองแพลตฟอร์มร่วมกัน

การใช้ Google Ads และ Facebook Ads ร่วมกันสามารถเพิ่มโอกาสในการเข้าถึงลูกค้าและปิดการขายได้อย่างมีประสิทธิภาพ ตัวอย่างเช่น

  • ใช้ Facebook Ads สร้างการรับรู้และดึงดูดกลุ่มเป้าหมายใหม่
  • ใช้ Google Ads ติดตามและปิดการขายเมื่อลูกค้าค้นหาข้อมูลเพิ่มเติม
  • ใช้ Facebook Retargeting Ads เพื่อโฆษณาซ้ำให้กับผู้ที่เคยเข้าชมเว็บไซต์จาก Google Ads

4. สรุปแนวทางการเลือก

ปัจจัย Google Ads Facebook Ads
เป้าหมายหลัก ปิดการขายจากการค้นหา สร้างการรับรู้และความสนใจ
รูปแบบโฆษณา ค้นหา แบนเนอร์ วิดีโอ รูปภาพ วิดีโอ อินเทอร์แอคทีฟ
กลุ่มเป้าหมาย ผู้ที่กำลังมองหาสินค้า/บริการ ผู้ที่อาจสนใจแต่ยังไม่ค้นหา
ต้นทุนต่อคลิก (CPC) มักสูงแต่ Conversion Rate ดีกว่า มักต่ำกว่าแต่ต้องสร้าง Demand
เหมาะสำหรับ ธุรกิจที่มีดีมานด์สูง ธุรกิจที่ต้องการสร้าง Awareness

หากธุรกิจของคุณต้องการผลลัพธ์ที่รวดเร็วจากลูกค้าที่มีแนวโน้มซื้อสูง Google Ads อาจเหมาะกว่า แต่ถ้าคุณต้องการสร้างการรับรู้และเข้าถึงลูกค้าใหม่ๆ Facebook Ads จะมีประสิทธิภาพมากกว่า อย่างไรก็ตาม การใช้ทั้งสองแพลตฟอร์มร่วมกันจะช่วยให้คุณสามารถสร้างกลยุทธ์การตลาดที่แข็งแกร่งและครอบคลุมทุกกลุ่มเป้าหมาย

บทสรุป

การใช้โฆษณาออนไลน์ผ่าน Google Ads และ Facebook Ads เป็นกลยุทธ์สำคัญที่ช่วยให้ธุรกิจเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้อย่างมีประสิทธิภาพ Google Ads เหมาะสำหรับการจับลูกค้าที่กำลังค้นหาสินค้าหรือบริการ ในขณะที่ Facebook Ads เหมาะสำหรับการสร้างการรับรู้และดึงดูดลูกค้าใหม่ การใช้โฆษณาให้เกิดผลจำเป็นต้องอาศัยการวางแผนที่ดี ตั้งแต่การกำหนดกลุ่มเป้าหมาย การออกแบบโฆษณาที่ดึงดูด การตั้งค่างบประมาณและการเสนอราคา ไปจนถึงการวัดผลและปรับปรุงแคมเปญอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่คุ้มค่าที่สุด ธุรกิจอาจเลือกใช้ทั้งสองแพลตฟอร์มร่วมกันเพื่อเสริมจุดแข็งของแต่ละเครื่องมือ

สุดท้ายแล้ว ความสำเร็จของการโฆษณาออนไลน์ไม่ได้ขึ้นอยู่กับแพลตฟอร์มเพียงอย่างเดียว แต่ขึ้นอยู่กับกลยุทธ์ที่เหมาะสมและการปรับปรุงแคมเปญให้สอดคล้องกับพฤติกรรมของกลุ่มเป้าหมาย หากนำแนวทางที่แนะนำไปปรับใช้ ธุรกิจของคุณจะสามารถสร้างผลตอบแทนที่ดีจากการลงทุนด้านโฆษณาออนไลน์ได้อย่างแน่นอน