การปูกระเบื้อง เป็นขั้นตอนสำคัญในการสร้างหรือปรับปรุงบ้าน เนื่องจากกระเบื้องไม่เพียงแต่เพิ่มความสวยงามให้กับพื้นที่ แต่ยังช่วยให้พื้นที่นั้นมีความทนทานและใช้งานได้ยาวนาน การเลือก บริการรับปูกระเบื้อง ที่มีคุณภาพจึงเป็นสิ่งที่ไม่สามารถมองข้ามได้ เพราะงานปูกระเบื้องที่ดีไม่เพียงแต่ทำให้บ้านดูดี แต่ยังช่วยเพิ่มความสะดวกสบายในการใช้งานได้อีกด้วย อย่างไรก็ตาม สำหรับผู้ที่ไม่เคยมีประสบการณ์ในการปูกระเบื้องมาก่อน อาจมีคำถามหรือข้อสงสัยหลายประการเกี่ยวกับการเลือกบริการและการดูแลรักษากระเบื้อง บทความนี้จะช่วยตอบคำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับการเลือกบริการรับปูกระเบื้อง พร้อมคำแนะนำที่สำคัญ เพื่อช่วยให้การตัดสินใจของคุณเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและคุ้มค่าที่สุด
1. การเลือกผู้ให้บริการปูกระเบื้องควรพิจารณาจากอะไรบ้าง?
การเลือกผู้ให้บริการปูกระเบื้องเป็นขั้นตอนที่สำคัญในการทำให้โครงการก่อสร้างหรือปรับปรุงบ้านของคุณเสร็จสมบูรณ์ได้อย่างมีคุณภาพและยาวนาน เมื่อคุณเลือกผู้ให้บริการที่มีความเชี่ยวชาญและมีประสบการณ์ จะช่วยให้กระเบื้องที่ติดตั้งมีความทนทานและตรงตามความต้องการของคุณ การพิจารณาคัดเลือกผู้ให้บริการปูกระเบื้องควรคำนึงถึงหลายปัจจัยดังนี้:
1. ประสบการณ์และความเชี่ยวชาญ
ผู้ให้บริการที่มีประสบการณ์ในการปูกระเบื้องมานานมักจะมีทักษะในการติดตั้งที่ดีกว่า ช่วยลดความผิดพลาดในการทำงาน และสามารถรับมือกับปัญหาที่อาจเกิดขึ้นระหว่างการทำงานได้ดี หากผู้ให้บริการมีผลงานที่ผ่านมาในโปรเจกต์ที่คล้ายคลึงกับของคุณ จะช่วยเพิ่มความมั่นใจในการเลือกใช้บริการนั้น ๆ
2. ผลงานที่ผ่านมาของผู้ให้บริการ
ก่อนที่จะตัดสินใจเลือกผู้ให้บริการ ควรขอดูผลงานที่ผ่านมา เช่น รูปถ่ายของโครงการที่ทำการปูกระเบื้องไว้ในบ้านหรือสถานที่ต่างๆ การดูผลงานที่ผ่านมาจะช่วยให้คุณได้เห็นคุณภาพของงานปูจริง และจะทำให้คุณมั่นใจได้ว่าเป็นผู้ที่สามารถทำงานได้ตามมาตรฐานที่คุณต้องการ
3. การรับประกันคุณภาพงาน
บริการปูกระเบื้องที่ดีมักจะมีการรับประกันคุณภาพของงานที่ทำ เช่น การรับประกันกระเบื้องที่ติดตั้งจะไม่หลุดหรือเสียหายภายในระยะเวลาที่กำหนด หากมีปัญหาหลังการติดตั้ง ผู้ให้บริการสามารถมาแก้ไขให้โดยไม่มีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม การรับประกันเป็นสิ่งที่สำคัญในการสร้างความมั่นใจให้กับลูกค้า
4. การบริการลูกค้า
การบริการลูกค้าที่ดีคือหนึ่งในตัวชี้วัดที่สำคัญในการเลือกผู้ให้บริการ ปฏิสัมพันธ์ที่ดีกับลูกค้าจะช่วยให้การทำงานเป็นไปอย่างราบรื่น ตั้งแต่การปรึกษาเลือกกระเบื้องจนถึงการติดตั้ง บริการลูกค้าที่ดีจะตอบสนองต่อคำถามของคุณได้รวดเร็ว และสามารถให้คำแนะนำที่เหมาะสมได้อย่างมืออาชีพ
5. ราคาที่เหมาะสมและโปร่งใส
การเลือกผู้ให้บริการที่มีราคาที่ชัดเจนและเหมาะสมกับงบประมาณเป็นสิ่งที่สำคัญ ควรขอใบเสนอราคาล่วงหน้าและเปรียบเทียบราคาจากหลายๆ เจ้า แต่ต้องระวังการเลือกบริการที่มีราคาต่ำเกินไป เพราะอาจจะหมายถึงคุณภาพงานที่ไม่ดีหรือวัสดุที่ใช้ไม่คงทน ควรเลือกผู้ให้บริการที่มีความสมดุลระหว่างราคาและคุณภาพ
6. ความสามารถในการทำงานตามเวลา
เวลาที่ต้องการให้เสร็จสิ้นการติดตั้งกระเบื้องมีความสำคัญ ผู้ให้บริการที่ดีจะสามารถทำงานตามกรอบเวลาที่กำหนดได้ โดยไม่ทำให้เกิดความล่าช้าเกินไป ควรสอบถามเกี่ยวกับระยะเวลาในการทำงานและตรวจสอบให้แน่ใจว่าเขาสามารถทำงานได้ตามแผนที่กำหนด
7. การใช้วัสดุและเทคโนโลยีที่ทันสมัย
การเลือกผู้ให้บริการที่มีความรู้และใช้วัสดุคุณภาพสูงจะช่วยให้การปูกระเบื้องมีความทนทานมากขึ้น การเลือกวัสดุที่เหมาะสมและทันสมัยจะช่วยยืดอายุการใช้งานของกระเบื้อง เช่น กระเบื้องพอร์ซเลนที่มีความทนทานสูงหรือกระเบื้องเซรามิกที่ใช้งานได้ดีในทุกสภาพแวดล้อม
8. ความสามารถในการให้คำแนะนำ
ผู้ให้บริการที่ดีควรสามารถให้คำแนะนำเกี่ยวกับการเลือกประเภทกระเบื้องที่เหมาะสมกับการใช้งานในแต่ละพื้นที่ได้ เช่น กระเบื้องที่ทนทานต่อความชื้นสำหรับห้องน้ำ หรือกระเบื้องที่ไม่ลื่นสำหรับพื้นที่ภายนอก หรือแม้แต่การเลือกขนาดกระเบื้องที่เหมาะสมกับพื้นที่
2. กระเบื้องแบบไหนเหมาะสมกับการใช้งานในแต่ละพื้นที่?
การเลือกกระเบื้องที่เหมาะสมกับการใช้งานในแต่ละพื้นที่เป็นสิ่งสำคัญ เพราะกระเบื้องแต่ละประเภทมีคุณสมบัติที่แตกต่างกัน ซึ่งอาจส่งผลต่อความทนทานและความสวยงามของพื้นที่ได้ หากเลือกกระเบื้องไม่เหมาะสมกับลักษณะการใช้งาน อาจทำให้กระเบื้องเสียหายได้ง่ายหรือไม่สามารถใช้งานได้เต็มประสิทธิภาพ นี่คือลักษณะของกระเบื้องที่เหมาะสมสำหรับพื้นที่ต่าง ๆ:
1. ห้องน้ำ
ห้องน้ำเป็นพื้นที่ที่มักมีความชื้นสูงและต้องสัมผัสกับน้ำบ่อยครั้ง ดังนั้นการเลือกกระเบื้องสำหรับห้องน้ำควรเลือกที่มีความทนทานต่อความชื้นและง่ายต่อการทำความสะอาด
-
กระเบื้องเซรามิก: เป็นตัวเลือกที่นิยมใช้ในห้องน้ำ เนื่องจากมีคุณสมบัติในการทนต่อความชื้นและสามารถทำความสะอาดได้ง่าย
-
กระเบื้องพอร์ซเลน: กระเบื้องพอร์ซเลนมีความหนาแน่นและทนทานสูง เหมาะสำหรับการใช้ในห้องน้ำ โดยเฉพาะพื้นที่ที่มีการใช้งานหนัก เช่น พื้นห้องน้ำ
-
กระเบื้องโมเสค: กระเบื้องโมเสคเป็นกระเบื้องขนาดเล็กที่สามารถใช้งานได้ทั้งในผนังและพื้นห้องน้ำ มีดีไซน์ที่หลากหลายและสามารถช่วยเพิ่มความสวยงามได้
2. ห้องครัว
ห้องครัวเป็นอีกพื้นที่ที่ต้องการกระเบื้องที่ทนทานต่อความร้อน คราบน้ำมัน และสิ่งสกปรกต่าง ๆ ดังนั้นกระเบื้องที่เลือกใช้ในห้องครัวควรมีคุณสมบัติในการทำความสะอาดได้ง่ายและไม่ดูดซับสิ่งสกปรก
-
กระเบื้องเซรามิก: กระเบื้องเซรามิกที่มีเคลือบผิวเงาเหมาะสำหรับห้องครัว เพราะสามารถเช็ดทำความสะอาดคราบน้ำมันและคราบสกปรกต่าง ๆ ได้ง่าย
-
กระเบื้องพอร์ซเลน: กระเบื้องประเภทนี้มีความแข็งแรงและทนทานต่อการใช้งานหนัก สามารถใช้ได้ทั้งในพื้นและผนังห้องครัว
-
กระเบื้องเคลือบผิวเงา: กระเบื้องที่มีผิวเงามักจะไม่ดูดซับสิ่งสกปรก ทำให้สามารถทำความสะอาดได้ง่าย เหมาะกับพื้นที่ที่มีการปนเปื้อนจากอาหาร
3. ห้องนั่งเล่น
ห้องนั่งเล่นหรือห้องรับแขกมักจะต้องการกระเบื้องที่มีความสวยงามและให้ความรู้สึกหรูหรา แต่ยังคงต้องทนทานต่อการใช้งานประจำวัน
-
กระเบื้องหินอ่อน: กระเบื้องหินอ่อนให้ความหรูหราและความสวยงาม เหมาะสำหรับห้องนั่งเล่นหรือห้องรับแขกที่ต้องการความหรูหรา กระเบื้องหินอ่อนมีลวดลายธรรมชาติที่ทำให้ห้องดูมีมิติ
-
กระเบื้องแกรนิต: กระเบื้องแกรนิตมีความทนทานสูงและมีลวดลายหลากหลาย เหมาะสำหรับพื้นที่ที่ต้องการความทนทานสูงและดูสวยงามไปพร้อม ๆ กัน
-
กระเบื้องพอร์ซเลน: กระเบื้องพอร์ซเลนที่มีผิวมันเงาหรือผิวด้านก็เป็นตัวเลือกที่ดีสำหรับการใช้ในห้องนั่งเล่น เพราะมีทั้งความสวยงามและทนทานต่อการใช้งาน
4. พื้นที่ภายนอก (ระเบียง, ลานจอดรถ)
พื้นที่ภายนอกต้องการกระเบื้องที่มีความทนทานต่อสภาพอากาศที่แตกต่างกัน เช่น ความร้อน, ความชื้น, หรือฝนตกบ่อย ๆ ดังนั้น กระเบื้องที่ใช้ควรมีคุณสมบัติในการต้านทานการขยายตัวจากอุณหภูมิสูงและทนทานต่อการขูดขีด
-
กระเบื้องพอร์ซเลน: กระเบื้องพอร์ซเลนที่ใช้ภายนอกมีคุณสมบัติในการทนทานต่ออุณหภูมิสูงและน้ำฝน
-
กระเบื้องหินแกรนิต: กระเบื้องหินแกรนิตมีความทนทานสูงและสามารถทนต่อการใช้งานภายนอกได้ดี
-
กระเบื้องยางหรือกระเบื้องลายไม้: กระเบื้องยางหรือกระเบื้องลายไม้ที่มีความทนทานต่อสภาพอากาศรุนแรงและให้ลุคที่อบอุ่น เหมาะสำหรับพื้นที่ระเบียงหรือลานจอดรถ
5. พื้นภายในทั่วไป
พื้นที่ภายในทั่วไป เช่น ห้องนอน ห้องทำงาน หรือห้องเรียน ควรเลือกกระเบื้องที่มีความทนทาน แต่ยังคงให้ความรู้สึกสบาย ๆ
-
กระเบื้องเซรามิก: กระเบื้องเซรามิกเป็นตัวเลือกที่ดีสำหรับการปูพื้นภายใน เนื่องจากมีทั้งความทนทานและทำความสะอาดง่าย
-
กระเบื้องพอร์ซเลน: กระเบื้องพอร์ซเลนที่มีผิวมันเงาหรือผิวด้าน เหมาะสำหรับการใช้ในพื้นที่ทั่วไปที่มีการใช้งานปกติ
-
กระเบื้องลายไม้: กระเบื้องที่มีลายไม้ให้ความรู้สึกอบอุ่นและเหมาะสำหรับการตกแต่งในพื้นที่ที่ต้องการความสบาย
การเลือกกระเบื้องที่เหมาะสมกับแต่ละพื้นที่จะช่วยให้บ้านของคุณไม่เพียงแต่สวยงาม แต่ยังคงทนทานต่อการใช้งานในระยะยาว ทั้งนี้ยังช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายในการบำรุงรักษาและซ่อมแซมในอนาคตได้อีกด้วย
3. กระเบื้องจะทนทานได้กี่ปี?
กระเบื้องที่มีคุณภาพดีสามารถทนทานได้หลายปี ขึ้นอยู่กับประเภทของกระเบื้องที่เลือกใช้และการดูแลรักษาหลังจากการติดตั้ง โดยทั่วไปแล้ว กระเบื้องแต่ละประเภทจะมีอายุการใช้งานที่แตกต่างกันดังนี้:
-
กระเบื้องเซรามิก (Ceramic Tiles): กระเบื้องเซรามิกเป็นกระเบื้องที่ได้รับความนิยมสูงเนื่องจากราคาประหยัดและมีความทนทานพอสมควร อายุการใช้งานของกระเบื้องเซรามิกทั่วไปจะอยู่ที่ประมาณ 10-20 ปี หากได้รับการติดตั้งอย่างถูกต้องและดูแลรักษาอย่างดี
-
กระเบื้องพอร์ซเลน (Porcelain Tiles): กระเบื้องพอร์ซเลนมีความทนทานสูงกว่ากระเบื้องเซรามิก เนื่องจากกระเบื้องชนิดนี้ผลิตจากวัสดุที่มีคุณสมบัติทนทานต่อการขีดข่วนและการสึกหรอมากกว่า กระเบื้องพอร์ซเลนที่มีคุณภาพดีสามารถใช้งานได้ 20-30 ปี หรือมากกว่านั้น หากการติดตั้งถูกต้องและได้รับการดูแลรักษาอย่างเหมาะสม
-
กระเบื้องหินอ่อน (Marble Tiles): กระเบื้องหินอ่อนเป็นกระเบื้องที่มีความสวยงามและหรูหรา และมีอายุการใช้งานที่ยาวนานได้ถึง 30-50 ปี หากได้รับการดูแลรักษาอย่างดี กระเบื้องหินอ่อนอาจจะเป็นทางเลือกที่ดีในพื้นที่ที่ต้องการความหรูหรา เช่น ห้องรับแขกหรือห้องนั่งเล่น
-
กระเบื้องหินแกรนิต (Granite Tiles): กระเบื้องหินแกรนิตมีความทนทานและแข็งแรงสูงมาก อายุการใช้งานของกระเบื้องชนิดนี้มักจะยาวนานถึง 40-50 ปีหรือมากกว่า ขึ้นอยู่กับการติดตั้งและการดูแลรักษา
-
กระเบื้องโมเสค (Mosaic Tiles): กระเบื้องโมเสคมักใช้ในการตกแต่งพื้นที่เฉพาะ เช่น ห้องน้ำหรือสระว่ายน้ำ อายุการใช้งานของกระเบื้องโมเสคจะขึ้นอยู่กับวัสดุที่ใช้ทำ แต่โดยทั่วไปแล้วจะมีอายุการใช้งานอยู่ที่ประมาณ 10-20 ปี
แม้ว่ากระเบื้องทุกประเภทจะมีอายุการใช้งานที่ยาวนาน แต่การดูแลรักษาที่เหมาะสมเป็นสิ่งสำคัญในการยืดอายุการใช้งานกระเบื้องให้ยาวนานที่สุด เช่น การทำความสะอาดกระเบื้องอย่างสม่ำเสมอ, การหลีกเลี่ยงการใช้สารเคมีที่รุนแรง, การตรวจสอบรอยรั่วซึมในกระเบื้อง หรือการรักษาร่องยาแนวให้สะอาดและไม่เสียหาย เป็นต้น
4. การคำนวณจำนวนกระเบื้องที่ต้องใช้ต้องทำอย่างไร?
การคำนวณจำนวนกระเบื้องที่ต้องใช้เป็นขั้นตอนสำคัญในการปูกระเบื้อง เพราะหากคำนวณไม่ถูกต้องอาจทำให้กระเบื้องไม่เพียงพอหรือมีส่วนเกินมากเกินไป ซึ่งอาจส่งผลให้เกิดค่าใช้จ่ายที่ไม่จำเป็น นี่คือวิธีการคำนวณจำนวนกระเบื้องที่ต้องใช้ในงานปูกระเบื้อง:
1. วัดขนาดพื้นที่ที่ต้องการปูกระเบื้อง
เริ่มต้นโดยการวัดขนาดของพื้นที่ที่คุณต้องการปูกระเบื้อง เช่น พื้นที่ห้องที่ต้องการปูกระเบื้องอาจจะมีขนาดกว้าง 4 เมตร ยาว 3 เมตร ดังนั้น พื้นที่ทั้งหมดจะเป็น:
พื้นที่ = กว้าง x ยาว = 4 เมตร x 3 เมตร = 12 ตารางเมตร
2. วัดขนาดของกระเบื้องที่เลือกใช้
ต่อไปคือการวัดขนาดของกระเบื้องที่คุณจะใช้ในงาน เช่น กระเบื้องที่เลือกใช้มีขนาด 30 เซนติเมตร x 30 เซนติเมตร ซึ่งสามารถคำนวณพื้นที่ของกระเบื้องแต่ละแผ่นได้ดังนี้:
พื้นที่กระเบื้อง = ความยาว x ความกว้าง = 30 เซนติเมตร x 30 เซนติเมตร = 900 ตารางเซนติเมตร
เนื่องจาก 1 ตารางเมตรเท่ากับ 10,000 ตารางเซนติเมตร (100 เซนติเมตร x 100 เซนติเมตร) ดังนั้น:
พื้นที่กระเบื้อง = 900 ตารางเซนติเมตร ÷ 10,000 = 0.09 ตารางเมตรต่อแผ่น
3. คำนวณจำนวนกระเบื้องที่ต้องใช้
จากพื้นที่ที่ต้องการปูกระเบื้อง (12 ตารางเมตร) และพื้นที่ของกระเบื้องแต่ละแผ่น (0.09 ตารางเมตร) สามารถคำนวณจำนวนกระเบื้องที่ต้องใช้ได้โดยการแบ่งพื้นที่ทั้งหมดด้วยพื้นที่ของกระเบื้องแต่ละแผ่น:
จำนวนกระเบื้องที่ต้องใช้ = พื้นที่ทั้งหมด ÷ พื้นที่ของกระเบื้อง
จำนวนกระเบื้องที่ต้องใช้ = 12 ตารางเมตร ÷ 0.09 ตารางเมตร = 133.33 แผ่น
เนื่องจากไม่สามารถใช้กระเบื้องได้ครึ่งแผ่น จึงต้องปัดจำนวนให้เป็นจำนวนเต็ม คือ 134 แผ่น
4. เผื่อส่วนเกิน
ในการคำนวณจำนวนกระเบื้องควรเผื่อส่วนเกินไว้ประมาณ 5-10% เพื่อรับมือกับกรณีที่กระเบื้องแตกหรือการตัดกระเบื้องที่ไม่ตรงตามขนาดหรือรูปทรงที่ต้องการ สำหรับตัวอย่างนี้ เราจะเผื่อส่วนเกินไว้ 10%:
จำนวนกระเบื้องที่เผื่อ = 134 แผ่น x 1.10 = 147.4 แผ่น
ดังนั้นจำนวนกระเบื้องที่ควรสั่งซื้อทั้งหมดจะเป็น 148 แผ่น (ปัดขึ้น)
ในการคำนวณจำนวนกระเบื้องที่ต้องใช้ เราต้องเริ่มจากการวัดขนาดของพื้นที่ที่ต้องการปูกระเบื้อง, วัดขนาดของกระเบื้องที่เลือกใช้, แล้วคำนวณจำนวนกระเบื้องที่ต้องใช้ จากนั้นเผื่อส่วนเกินประมาณ 5-10% เพื่อให้มั่นใจว่ามีจำนวนกระเบื้องเพียงพอในการทำงาน
5. ราคาค่าบริการปูกระเบื้องเป็นอย่างไร?
ราคาค่าบริการปูกระเบื้องนั้นสามารถแตกต่างกันไปตามหลายปัจจัย ซึ่งรวมถึงประเภทของกระเบื้องที่ใช้, ขนาดของพื้นที่ที่ต้องการปูกระเบื้อง, ความยากง่ายของงาน, และพื้นที่ที่ตั้งอยู่ โดยปกติแล้วราคาจะถูกคำนวณเป็นราคา “ต่อตารางเมตร” หรือ “ต่อแผ่น” ขึ้นอยู่กับผู้ให้บริการ นี่คือลักษณะต่างๆ ที่ส่งผลต่อราคาค่าบริการ:
1. ประเภทของกระเบื้องที่เลือกใช้
กระเบื้องแต่ละประเภทมีราคาที่แตกต่างกันไป ดังนี้:
-
กระเบื้องเซรามิก: เป็นกระเบื้องที่ได้รับความนิยมมากที่สุด เนื่องจากมีราคาไม่แพงและมีหลากหลายลวดลาย ราคาจะอยู่ในช่วงประมาณ 100-300 บาทต่อตารางเมตร
-
กระเบื้องพอร์ซเลน: กระเบื้องพอร์ซเลนมีความทนทานสูงและทนต่อการขีดข่วนได้ดี ราคาของกระเบื้องประเภทนี้จะสูงกว่าเซรามิก โดยมีราคาตั้งแต่ 300 บาทจนถึง 800 บาทต่อตารางเมตร
-
กระเบื้องหินอ่อน: กระเบื้องหินอ่อนมีความหรูหราและมีราคาสูง ราคาอยู่ในช่วงประมาณ 1,000-3,000 บาทต่อตารางเมตร ขึ้นอยู่กับคุณภาพและแหล่งที่มา
-
กระเบื้องหินแกรนิต: กระเบื้องหินแกรนิตมีความแข็งแรงและทนทานมาก เหมาะสำหรับพื้นที่ภายนอกหรือพื้นที่ที่มีการใช้งานหนัก ราคาอาจสูงตั้งแต่ 800 บาทขึ้นไปต่อตารางเมตร
2. ขนาดพื้นที่ที่ต้องการปูกระเบื้อง
ราคาค่าบริการปูกระเบื้องจะขึ้นอยู่กับขนาดพื้นที่ที่ต้องการปูกระเบื้อง หากพื้นที่มีขนาดใหญ่ ราคาอาจถูกลงตามจำนวนพื้นที่ทั้งหมด เนื่องจากผู้รับเหมาอาจให้ราคาตามตารางเมตร ซึ่งจะเป็นการลดราคาต่อหน่วยหากทำงานในปริมาณมาก
3. ประเภทของงานและความยากง่ายในการทำ
งานปูกระเบื้องที่มีความซับซ้อนหรือมีลวดลายที่ต้องการความละเอียดจะมีราคาสูงกว่าการปูกระเบื้องในพื้นที่ทั่วไป เช่น
-
การปูกระเบื้องแบบปกติ: ราคาปกติสำหรับการปูกระเบื้องพื้นหรือผนังในพื้นที่ตรงไปตรงมาจะมีราคาอยู่ในช่วง 200-500 บาทต่อตารางเมตร
-
การปูกระเบื้องที่มีลวดลายหรือการตัดกระเบื้อง: หากพื้นที่มีลวดลายซับซ้อนหรือมีการตัดกระเบื้องที่ต้องการความละเอียด งานประเภทนี้อาจมีค่าใช้จ่ายสูงขึ้น โดยราคาจะเริ่มต้นที่ 500 บาทต่อตารางเมตร และอาจสูงขึ้นไปตามความยากง่ายของงาน
-
การปูกระเบื้องในพื้นที่ยากลำบาก: หากงานปูกระเบื้องต้องทำในพื้นที่ที่เข้าถึงยาก เช่น ชั้นบนของอาคาร หรือพื้นที่ที่มีโครงสร้างพิเศษ เช่น บันไดหรือลานจอดรถ ราคาค่าบริการจะสูงขึ้น
4. ค่าจ้างแรงงาน
ค่าจ้างสำหรับช่างปูกระเบื้องจะคำนวณเป็นราคา “ต่อตารางเมตร” หรือ “ต่อวัน” โดยอัตราค่าจ้างจะขึ้นอยู่กับประสบการณ์ของช่างและพื้นที่ที่ตั้งอยู่ เช่น
-
ค่าจ้างช่างปูกระเบื้อง: ราคาค่าจ้างสำหรับช่างปูกระเบื้องทั่วไปอาจอยู่ในช่วง 150-350 บาทต่อตารางเมตร ขึ้นอยู่กับประเภทของกระเบื้องและความซับซ้อนของงาน
-
ค่าจ้างสำหรับงานพิเศษ: สำหรับงานที่ต้องการความชำนาญพิเศษ เช่น การปูกระเบื้องหินอ่อนหรือหินแกรนิต ค่าแรงอาจสูงขึ้น โดยราคาจะอยู่ที่ประมาณ 400-800 บาทต่อตารางเมตร
5. ค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม
นอกจากราคาค่ากระเบื้องและค่าจ้างแรงงานแล้ว ยังมีค่าใช้จ่ายอื่นๆ ที่อาจเกิดขึ้นระหว่างการทำงาน ได้แก่:
-
ค่าขนส่งกระเบื้อง: หากกระเบื้องมีจำนวนมากหรือเป็นประเภทที่หนัก ค่าใช้จ่ายในการขนส่งก็จะสูงขึ้น
-
ค่าวัสดุเพิ่มเติม: เช่น กาวยาแนว ปูน หรืออุปกรณ์ที่ใช้ในการติดตั้งกระเบื้อง ค่านี้จะขึ้นอยู่กับประเภทของวัสดุที่เลือกใช้
-
ค่าเสื่อมสภาพ: ในบางกรณี หากมีการใช้กระเบื้องที่มีราคาสูงหรือกระเบื้องที่ต้องมีการตัดให้ตรงตามพื้นที่พิเศษ อาจมีค่าเสื่อมสภาพหรือการตัดกระเบื้องที่ต้องคำนึงถึงในราคาค่าบริการ
6. ราคาตามภูมิภาค
ราคาอาจแตกต่างกันไปตามพื้นที่ที่ตั้งของผู้ให้บริการในแต่ละภูมิภาค เช่น ในเมืองใหญ่หรือพื้นที่ที่มีการแข่งขันสูง ราคาค่าบริการอาจสูงกว่าในพื้นที่ชนบทที่มีค่าใช้จ่ายต่ำกว่า
ตัวอย่างการคำนวณราคาค่าบริการ
สมมติว่าคุณต้องการปูกระเบื้องขนาด 30 x 30 เซนติเมตร ในพื้นที่ขนาด 20 ตารางเมตร โดยเลือกใช้กระเบื้องเซรามิกที่มีราคา 300 บาทต่อตารางเมตร และค่าจ้างช่างปูกระเบื้องอยู่ที่ 200 บาทต่อตารางเมตร ดังนี้:
-
ราคากระเบื้อง = 20 ตารางเมตร x 300 บาท = 6,000 บาท
-
ค่าจ้างช่าง = 20 ตารางเมตร x 200 บาท = 4,000 บาท
-
รวมค่าใช้จ่าย = 6,000 บาท + 4,000 บาท = 10,000 บาท
ราคาค่าบริการปูกระเบื้องจะขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย ไม่ว่าจะเป็นประเภทของกระเบื้องที่เลือกใช้ ขนาดของพื้นที่ ความยากง่ายของงาน และค่าแรงของช่าง การคำนวณราคาต้องคำนึงถึงทุกส่วนประกอบเพื่อให้ได้ราคาที่เหมาะสมและคุ้มค่าที่สุดสำหรับงานปูกระเบื้องของคุณ
6. ควรเลือกปูกระเบื้องเองหรือจ้างผู้รับเหมาดี?
การตัดสินใจว่าจะ ปูกระเบื้องเอง หรือ จ้างผู้รับเหมา เป็นคำถามที่หลายคนอาจสงสัย โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อมีงบประมาณจำกัดหรืออยากลองทำเองเพื่อประหยัดค่าใช้จ่าย อย่างไรก็ตาม ทั้งสองทางเลือกมีข้อดีและข้อเสียที่แตกต่างกัน ซึ่งจะขึ้นอยู่กับหลายปัจจัยในการตัดสินใจ
ข้อดีของการปูกระเบื้องเอง
-
ประหยัดค่าใช้จ่าย
การปูกระเบื้องเองจะช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายได้มาก เพราะคุณไม่ต้องจ่ายค่าแรงให้กับผู้รับเหมา ซึ่งค่าแรงในการติดตั้งกระเบื้องอาจคิดเป็นเปอร์เซ็นต์จากราคากระเบื้องหรือคำนวณเป็นราคาต่อตารางเมตร -
ความพึงพอใจส่วนบุคคล
การทำเองให้ความรู้สึกพึงพอใจในผลลัพธ์ เพราะคุณได้เห็นผลลัพธ์จากฝีมือของตัวเอง การปูกระเบื้องในพื้นที่ที่คุณออกแบบหรือเลือกใช้วัสดุเองสามารถทำให้คุณมีความภูมิใจในผลงาน -
ความยืดหยุ่นในเวลา
หากคุณทำงานเอง คุณสามารถกำหนดเวลาในการทำงานได้ตามสะดวก ไม่ต้องพึ่งพาผู้รับเหมา หากมีเวลาและสามารถทำงานในเวลาที่ตัวเองว่างได้
ข้อเสียของการปูกระเบื้องเอง
-
ต้องการทักษะและความชำนาญ
การปูกระเบื้องไม่ใช่เรื่องง่าย หากคุณไม่มีประสบการณ์หรือทักษะในการติดตั้งกระเบื้อง อาจทำให้กระเบื้องติดไม่ตรง หรือลวดลายที่วางไม่สวยงาม การปูกระเบื้องผิดพลาดอาจทำให้กระเบื้องต้องถูกเปลี่ยนใหม่ ซึ่งทำให้เสียเวลาและค่าใช้จ่ายมากขึ้น -
ใช้เวลามากขึ้น
การปูกระเบื้องเองอาจต้องใช้เวลามากขึ้น เพราะคุณต้องเรียนรู้วิธีการติดตั้งที่ถูกต้อง และอาจเกิดความผิดพลาดในระหว่างการทำงาน ซึ่งอาจทำให้คุณต้องย้อนกลับไปแก้ไขปัญหาหรือทำงานเพิ่มขึ้น -
เครื่องมือและอุปกรณ์เฉพาะ
การปูกระเบื้องเองต้องการเครื่องมือพิเศษ เช่น กาวยาแนว, เครื่องตัดกระเบื้อง, หรือเครื่องมืออื่น ๆ ซึ่งอาจทำให้คุณต้องลงทุนในการซื้อเครื่องมือที่อาจไม่คุ้มค่าเมื่อใช้งานเพียงครั้งเดียว
ข้อดีของการจ้างผู้รับเหมา
-
ความรวดเร็วและมืออาชีพ
ผู้รับเหมามีประสบการณ์และความชำนาญในการปูกระเบื้อง ดังนั้นพวกเขาจะสามารถทำงานได้เร็วและมีคุณภาพที่ดีกว่า คุณสามารถมั่นใจได้ว่าได้รับงานที่เสร็จสมบูรณ์และมีความทนทานสูง -
การรับประกันคุณภาพ
หลายๆ ผู้รับเหมาจะมีการรับประกันความทนทานของการปูกระเบื้องหรือการติดตั้ง ซึ่งหากเกิดปัญหา เช่น กระเบื้องหลุดหรือเสียหายก่อนกำหนด สามารถเรียกร้องให้แก้ไขหรือซ่อมแซมได้ -
ไม่ต้องกังวลเกี่ยวกับการซื้อเครื่องมือและวัสดุ
ผู้รับเหมาจะเตรียมเครื่องมือและวัสดุที่จำเป็นในการปูกระเบื้อง ซึ่งคุณไม่จำเป็นต้องลงทุนซื้อเครื่องมือที่อาจใช้แค่ครั้งเดียว นอกจากนี้ยังสามารถเลือกวัสดุที่เหมาะสมกับงานได้อย่างมืออาชีพ -
ลดความเสี่ยงจากข้อผิดพลาด
การจ้างผู้รับเหมาช่วยลดความเสี่ยงจากข้อผิดพลาดที่อาจเกิดขึ้นได้ เช่น การปูกระเบื้องที่ไม่ตรง, ลวดลายที่ผิดเพี้ยน, หรือกระเบื้องที่แตกหักระหว่างการติดตั้ง ซึ่งการทำงานด้วยมืออาชีพจะให้ผลลัพธ์ที่ดีกว่า
ข้อเสียของการจ้างผู้รับเหมา
-
ค่าใช้จ่ายสูง
ค่าใช้จ่ายในการจ้างผู้รับเหมาอาจสูงกว่าการทำงานเอง เนื่องจากต้องจ่ายค่าแรงและค่าบริการอื่น ๆ ซึ่งอาจเพิ่มขึ้นตามขนาดของพื้นที่และความซับซ้อนของงาน -
การเลือกผู้รับเหมาที่ไม่ดี
หากคุณเลือกผู้รับเหมาโดยไม่ทำการตรวจสอบหรือเลือกผู้รับเหมาไม่ดี อาจทำให้คุณเจอกับผู้รับเหมาที่ไม่มีประสบการณ์ หรือทำงานไม่ตรงตามความต้องการ ซึ่งอาจทำให้เกิดปัญหาหรือค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม -
ข้อจำกัดในเวลาการทำงาน
การจ้างผู้รับเหมาอาจทำให้คุณต้องรอให้ผู้รับเหมาเข้ามาทำงานในเวลาที่กำหนด ซึ่งอาจไม่ตรงกับความสะดวกของคุณ หรืออาจต้องรอคิวในกรณีที่ผู้รับเหมามีงานค้างหลายโครงการ
เมื่อใดควรเลือกปูกระเบื้องเอง
-
ถ้าคุณมีประสบการณ์ในการทำงานประเภทนี้หรือมีทักษะในการทำงานมือ DIY
-
ถ้ามีเวลาและต้องการประหยัดค่าใช้จ่าย
-
ถ้าเป็นพื้นที่เล็ก ๆ หรือไม่มีความซับซ้อนมาก
เมื่อใดควรจ้างผู้รับเหมา
-
ถ้าคุณไม่มีประสบการณ์หรือไม่มั่นใจในทักษะการปูกระเบื้อง
-
ถ้าพื้นที่ที่ต้องการปูกระเบื้องมีขนาดใหญ่หรือมีความซับซ้อน
-
ถ้าคุณต้องการผลลัพธ์ที่เร็วและมีคุณภาพ
-
ถ้าคุณต้องการความมั่นใจในการรับประกันงานหลังการติดตั้ง
การเลือกว่าจะปูกระเบื้องเองหรือจ้างผู้รับเหมาขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย เช่น ทักษะส่วนบุคคล, งบประมาณ, ขนาดของพื้นที่ และระยะเวลาที่คุณมี หากคุณมีความสามารถและเวลาที่เพียงพอ การทำเองอาจช่วยประหยัดค่าใช้จ่าย แต่หากคุณต้องการความมั่นใจในคุณภาพของงานและประหยัดเวลา การจ้างผู้รับเหมาจะเป็นทางเลือกที่ดีกว่า
7. การดูแลรักษากระเบื้องหลังการติดตั้งเป็นอย่างไร?
การดูแลรักษากระเบื้องหลังการติดตั้งเป็นสิ่งสำคัญที่จะช่วยยืดอายุการใช้งานของกระเบื้อง และรักษาความสวยงามให้คงอยู่ได้ยาวนาน การดูแลรักษาที่ดีไม่เพียงแต่ทำให้กระเบื้องทนทาน แต่ยังช่วยป้องกันการเสื่อมสภาพจากการใช้งานในระยะยาว ซึ่งการดูแลรักษาจะมีหลากหลายด้านที่ต้องให้ความสำคัญ ดังนี้:
1. การทำความสะอาดกระเบื้อง
การทำความสะอาดกระเบื้องเป็นขั้นตอนพื้นฐานที่ควรทำอย่างสม่ำเสมอเพื่อป้องกันฝุ่น, คราบสกปรก และสารเคมีที่อาจทำให้กระเบื้องเสื่อมสภาพเร็วขึ้น วิธีการทำความสะอาดมีดังนี้:
-
เช็ดทำความสะอาดพื้นผิวกระเบื้อง: ใช้ผ้าชุบน้ำหมาดๆ เช็ดทำความสะอาดกระเบื้อง เพื่อหลีกเลี่ยงการเกิดรอยขีดข่วนที่อาจเกิดขึ้นจากการใช้ผ้าขนหนูหรือแปรงขนหยาบ
-
การใช้สารทำความสะอาด: ควรใช้สารทำความสะอาดที่เหมาะสมกับกระเบื้อง เช่น น้ำยาทำความสะอาดกระเบื้องที่ไม่กัดกร่อนหรือมีฤทธิ์รุนแรงเกินไป หากกระเบื้องมีคราบมันหรือคราบที่ยากต่อการทำความสะอาด เช่น คราบน้ำมันในครัว ควรใช้ผลิตภัณฑ์ที่ออกแบบมาเฉพาะสำหรับการขจัดคราบเหล่านี้
-
หลีกเลี่ยงการใช้สารเคมีที่รุนแรง: สารเคมีที่มีฤทธิ์กัดกร่อน เช่น น้ำยาที่มีส่วนผสมของกรดหรือด่างสูง อาจทำให้กระเบื้องเสียหายได้ โดยเฉพาะกระเบื้องที่มีพื้นผิวเคลือบ
2. การทำความสะอาดยาแนว (Grout)
การดูแลรักษายาแนวระหว่างกระเบื้องก็เป็นสิ่งสำคัญเช่นกัน เพราะยาแนวสามารถสะสมคราบสกปรกหรือเชื้อราได้ง่าย โดยเฉพาะในพื้นที่ที่มีความชื้นสูง เช่น ห้องน้ำหรือห้องครัว วิธีการดูแลมีดังนี้:
-
ทำความสะอาดคราบบนยาแนวทันที: หากเกิดคราบบนยาแนว ควรทำความสะอาดทันทีด้วยน้ำอุ่นและสบู่อ่อน ๆ หรือสามารถใช้น้ำยาทำความสะอาดยาแนวที่มีอยู่ในท้องตลาด
-
ป้องกันการเกิดเชื้อรา: ในพื้นที่ที่มีความชื้นสูง ควรใช้ผลิตภัณฑ์ป้องกันเชื้อราบนยาแนวเพื่อป้องกันการสะสมของเชื้อราที่อาจทำให้ยาแนวเป็นสีเหลืองหรือดำ
-
ตรวจสอบและเปลี่ยนยาแนวเมื่อจำเป็น: หากยาแนวมีรอยแตกหรือสึกหรอ ควรเปลี่ยนยาแนวใหม่เพื่อป้องกันน้ำหรือสิ่งสกปรกซึมเข้าไปในพื้นหรือผนัง
3. การป้องกันการขีดข่วนและรอยแตก
กระเบื้องอาจได้รับความเสียหายจากการขีดข่วนหรือการตกกระแทก วิธีการป้องกันมีดังนี้:
-
ใช้ผ้าปูพื้นหรือพรม: ในบริเวณที่มักมีการเดินหรือเคลื่อนย้ายสิ่งของ เช่น ห้องนั่งเล่นหรือห้องรับแขก ควรใช้ผ้าปูพื้นหรือพรมช่วยลดแรงกระแทกที่อาจทำให้กระเบื้องแตกหรือขีดข่วน
-
หลีกเลี่ยงการลากของหนักบนพื้น: หากต้องเคลื่อนย้ายของหนัก เช่น เฟอร์นิเจอร์หรือเครื่องใช้ ควรใช้วัสดุที่ช่วยยกของหรือลากของเพื่อป้องกันการขีดข่วนหรือการทำให้พื้นกระเบื้องเสียหาย
-
ใช้แผ่นรองพื้นในพื้นที่เสี่ยง: ในห้องครัวหรือพื้นที่ที่มีการใช้ของมีน้ำหนักสูง ควรใช้แผ่นรองพื้นเพื่อป้องกันการเกิดรอยขีดข่วนจากการใช้งาน
4. การป้องกันน้ำขังและความชื้น
กระเบื้องที่ถูกติดตั้งในพื้นที่ที่มีความชื้นสูง เช่น ห้องน้ำหรือพื้นที่ภายนอก ต้องมีการป้องกันน้ำขังและความชื้นอย่างเหมาะสม เนื่องจากน้ำอาจซึมผ่านกระเบื้องหรือยาแนว ทำให้กระเบื้องหรือผนังเกิดความเสียหายได้
-
ติดตั้งกระเบื้องให้แน่นหนา: ควรให้ผู้ติดตั้งกระเบื้องใช้เทคนิคการติดตั้งที่มั่นคง โดยใช้วัสดุปูนกาวหรือปูนซีเมนต์คุณภาพสูงที่สามารถป้องกันน้ำซึมเข้าไปได้
-
การตรวจสอบรอยแตก: ควรตรวจสอบกระเบื้องและยาแนวเป็นระยะๆ หากพบว่ามีรอยแตกหรือช่องว่างที่ทำให้น้ำสามารถซึมเข้าไปได้ ควรรีบซ่อมแซมหรือเปลี่ยนกระเบื้องหรือยาแนวนั้น
5. การเคลือบกระเบื้อง
การเคลือบกระเบื้องด้วยสารเคลือบช่วยเพิ่มความทนทานและทำให้การทำความสะอาดกระเบื้องง่ายขึ้น โดยเฉพาะกระเบื้องที่มีพื้นผิวมันหรือกระเบื้องเซรามิกที่มีการเคลือบสารเคลือบ
-
ใช้สารเคลือบกระเบื้อง: สำหรับกระเบื้องบางประเภท เช่น กระเบื้องพอร์ซเลนหรือกระเบื้องหินอ่อน ควรใช้สารเคลือบเพื่อป้องกันคราบสกปรกและการดูดซับน้ำ
-
เคลือบใหม่เมื่อจำเป็น: หากเคลือบกระเบื้องเริ่มเสื่อมสภาพหรือหมดอายุการใช้งาน ควรทำการเคลือบใหม่เพื่อรักษาความเงางามและความทนทานของกระเบื้อง
6. การตรวจสอบและซ่อมแซม
การตรวจสอบกระเบื้องเป็นประจำจะช่วยให้คุณพบปัญหาที่อาจเกิดขึ้นก่อนที่มันจะลุกลามหรือทำให้เกิดความเสียหายใหญ่ๆ
-
ตรวจสอบรอยแตกร้าว: หากกระเบื้องแตกร้าวหรือหลุดออกจากพื้น ควรเปลี่ยนหรือซ่อมแซมทันที โดยการติดตั้งกระเบื้องใหม่หรือทำการยกกระเบื้องที่เสียหายออกและเติมเต็มพื้นที่ที่ขาด
-
ตรวจสอบยาแนว: ยาแนวที่หลุดออกหรือสึกหรอควรได้รับการซ่อมแซมเพื่อป้องกันการซึมน้ำและการสะสมของสิ่งสกปรก
การดูแลรักษากระเบื้องหลังการติดตั้งเป็นขั้นตอนสำคัญที่ช่วยยืดอายุการใช้งานและรักษาความสวยงามของกระเบื้องให้คงอยู่ได้ยาวนาน โดยการทำความสะอาดอย่างสม่ำเสมอ ป้องกันการขีดข่วนและการแตกหัก, ดูแลยาแนว, และการป้องกันความชื้นจะช่วยให้กระเบื้องของคุณดูใหม่และใช้งานได้ยาวนาน
บทสรุป
การเลือกบริการรับปูกระเบื้องเป็นกระบวนการที่ต้องพิจารณาหลายปัจจัย ตั้งแต่การเลือกผู้ให้บริการที่มีคุณภาพ การเลือกกระเบื้องที่เหมาะสมกับการใช้งาน การคำนวณจำนวนกระเบื้องที่ต้องใช้ ไปจนถึงการดูแลรักษาหลังจากการติดตั้ง การทำความเข้าใจคำถามที่พบบ่อยเหล่านี้จะช่วยให้คุณสามารถตัดสินใจได้อย่างมั่นใจและมีประสิทธิภาพในการเลือกบริการที่เหมาะสมกับความต้องการของคุณ