การตั้งชื่อ URL (Uniform Resource Locator) อย่างเหมาะสมไม่เพียงแต่ช่วยให้ผู้ใช้เข้าใจเนื้อหาของหน้าเว็บได้ง่ายขึ้นเท่านั้น แต่ยังมีบทบาทสำคัญต่อการจัดอันดับเว็บไซต์บนเครื่องมือค้นหา (SEO) ด้วย URL ที่ดีสามารถเพิ่มโอกาสให้เว็บไซต์ของคุณถูกค้นพบและคลิกเข้าชมมากขึ้น บทความนี้จะอธิบายแนวทางพื้นฐานในการตั้งชื่อ URL ที่ดีต่อ SEO อย่างละเอียดสำหรับผู้ที่ต้องการเริ่มต้นอย่างถูกต้อง
1. ใช้คีย์เวิร์ดหลักใน URL
คีย์เวิร์ดหลัก (Primary Keyword) คือคำหรือวลีที่ผู้ใช้งานมักใช้ค้นหาเมื่อมองหาข้อมูลเกี่ยวกับหัวข้อใดหัวข้อหนึ่ง การใส่คีย์เวิร์ดหลักลงใน URL ช่วยให้เครื่องมือค้นหาเข้าใจว่าเนื้อหาของหน้านั้นเกี่ยวข้องกับคำค้นนั้น และยังช่วยให้ผู้ใช้เข้าใจหัวข้อของเพจก่อนคลิกเข้าไป
การใช้คีย์เวิร์ดใน URL ยังช่วยเพิ่มความน่าเชื่อถือ (trust factor) และอัตราการคลิก (CTR) เพราะผู้ใช้มักตัดสินใจคลิกจาก URL ที่ตรงกับสิ่งที่พวกเขากำลังมองหา
แนวทางการใช้คีย์เวิร์ดหลักใน URL อย่างถูกต้อง
-
-
เลือกคำที่ผู้ใช้น่าจะค้นหา
ก่อนสร้าง URL ควรทำการวิจัยคีย์เวิร์ด (Keyword Research) เพื่อหาว่าผู้ใช้นิยมค้นหาคำว่าอะไร เช่น หากคุณเขียนบทความเรื่อง “ประโยชน์ของโยคะ” คีย์เวิร์ดหลักอาจเป็น “ประโยชน์ของโยคะ” หรือ “โยคะดีอย่างไร” -
ใส่คีย์เวิร์ดไว้ใกล้ต้น URL
Google ให้ความสำคัญกับคำที่อยู่ต้น URL มากกว่าคำที่อยู่ท้าย เช่นwww.example.com/โยคะ-เพื่อสุขภาพ
ดีกว่าwww.example.com/บทความ/สุขภาพ/โยคะ
-
หลีกเลี่ยงการยัดคีย์เวิร์ด (Keyword Stuffing)
อย่าใส่คีย์เวิร์ดซ้ำหลายครั้งจนเกินไป เช่น
ไม่ควรใช้:www.example.com/โยคะ-โยคะ-โยคะ-สุขภาพ-โยคะ
-
ตัวอย่างการใส่คีย์เวิร์ดใน URL
เนื้อหา: บทความสอนทำอาหารคลีน
คีย์เวิร์ดหลัก: “เมนูอาหารคลีน”
ตัวอย่าง URL ที่ดี:www.example.com/เมนูอาหารคลีน
www.example.com/สูตรอาหาร/เมนูอาหารคลีน
ตัวอย่าง URL ที่ไม่ดี:www.example.com/post123?ref=abc
www.example.com/page?id=789&topic=food_clean
URL ที่ดีควรสามารถเข้าใจได้ทันทีว่าเนื้อหาข้างในเกี่ยวกับอะไรโดยไม่ต้องคลิกเข้าไปดู
2. สั้น กระชับ และเข้าใจง่าย
การตั้งชื่อ URL ให้ สั้น กระชับ และเข้าใจง่าย เป็นหนึ่งในหลักการที่สำคัญที่สุดของการทำ SEO เพราะมีผลต่อทั้งผู้ใช้งานและเครื่องมือค้นหา URL ที่ยาวหรือซับซ้อนเกินไปอาจทำให้ผู้ใช้งานสับสน ไม่สามารถจดจำหรือแชร์ได้ง่าย ขณะเดียวกัน Google ก็ให้ความสำคัญกับ URL ที่สามารถสื่อความหมายได้ชัดเจนว่าหน้านั้นเกี่ยวกับอะไร
ทำไมต้องสั้นและเข้าใจง่าย?
-
-
ช่วยให้ผู้ใช้อ่านและจดจำได้ง่าย
หาก URL มีความยาวเกินไปหรือประกอบด้วยคำที่ไม่จำเป็น จะทำให้ผู้ใช้งานไม่สามารถเข้าใจได้ทันทีว่าเนื้อหาเกี่ยวข้องกับอะไร -
เพิ่มโอกาสในการคลิก
เมื่อ URL ปรากฏในหน้าผลการค้นหา ผู้ใช้งานมีแนวโน้มจะคลิก URL ที่ดูเข้าใจง่ายและตรงกับสิ่งที่ต้องการมากกว่า -
ง่ายต่อการแชร์
URL ที่สั้นและกระชับจะสามารถคัดลอก ส่งต่อ หรือพิมพ์ลงบนอุปกรณ์ต่างๆ ได้สะดวก โดยเฉพาะในโซเชียลมีเดียหรืออีเมล
-
ตัวอย่างเปรียบเทียบ
ตัวอย่าง URL ที่ไม่ดี:www.example.com/how-to-grow-houseplants-in-small-apartment-using-organic-methods
ปัญหา: URL ยาวเกินไป มีคำฟุ่มเฟือยหลายคำ และอ่านยาก
ตัวอย่าง URL ที่ดีกว่า:www.example.com/ปลูกต้นไม้ในบ้าน
หรือถ้าใช้ภาษาอังกฤษ:www.example.com/grow-houseplants
เหตุผล: สั้น ชัดเจน เข้าใจทันทีว่าเนื้อหาเกี่ยวกับอะไร และใช้คีย์เวิร์ดสำคัญครบถ้วน
เทคนิคเพิ่มเติม
-
-
ตัดคำเชื่อม เช่น “and”, “in”, “by” ออกถ้าไม่จำเป็นต่อความหมาย
-
เลือกใช้คำที่เป็นคีย์เวิร์ดหลักเท่านั้น
-
หลีกเลี่ยงการใช้วันที่หรือรหัสที่ไม่สื่อความหมาย (เช่น /2023/08/page45)
-
การออกแบบ URL ที่สั้นและเข้าใจง่ายอาจดูเหมือนเป็นเรื่องเล็กน้อย แต่สามารถสร้างความแตกต่างอย่างมากในด้าน SEO และประสบการณ์ของผู้ใช้งานในระยะยาว
3. ใช้เครื่องหมายขีดกลาง (-) แทนการเว้นวรรค
การใช้เครื่องหมายขีดกลาง (-
) แทนการเว้นวรรคใน URL เป็นแนวปฏิบัติที่ได้รับการแนะนำจาก Google และถือเป็นมาตรฐานสำหรับ SEO เนื่องจากเครื่องหมายขีดกลางช่วยให้เครื่องมือค้นหาเข้าใจคำแต่ละคำใน URL ได้อย่างถูกต้องมากกว่าการใช้เครื่องหมายขีดล่าง (_
) หรือไม่เว้นวรรคเลย
ในระบบของ Google เครื่องหมายขีดกลางถือเป็นตัวแบ่งคำที่ชัดเจน ขณะที่เครื่องหมายขีดล่าง (_
) หรือการเขียนคำติดกันอาจทำให้ Google มองว่าเป็นคำเดียวกัน ส่งผลต่อความเข้าใจและการจัดอันดับในผลการค้นหา
ตัวอย่างเปรียบเทียบ:
-
ใช้ขีดกลาง (แนะนำ):
www.example.com/seo-url-structure
Google เข้าใจว่าเป็น “seo” “url” และ “structure” -
ใช้ขีดล่าง (ไม่แนะนำ):
www.example.com/seo_url_structure
Google อาจมองว่าเป็นคำเดียว เช่น “seo_url_structure” -
เขียนติดกัน (ไม่แนะนำ):
www.example.com/seourlstructure
ทั้งผู้ใช้และเครื่องมือค้นหาอาจไม่เข้าใจหรือเข้าใจผิด
นอกจากนี้ ขีดกลางยังช่วยให้ URL อ่านง่ายขึ้นสำหรับผู้ใช้งาน โดยเฉพาะเมื่อแชร์ลิงก์ในที่ต่าง ๆ เช่น บนโซเชียลมีเดียหรืออีเมล การมีคำที่แยกจากกันอย่างชัดเจนจะเพิ่มโอกาสที่ผู้คนจะคลิกและเข้าใจเนื้อหาที่กำลังจะเข้าชม
โดยสรุป:
หากจำเป็นต้องใช้คำหลายคำใน URL ให้ใช้ขีดกลาง (-
) เพื่อแบ่งคำเสมอ หลีกเลี่ยงขีดล่างและการเขียนติดกัน เพราะจะช่วยทั้งในด้าน SEO และความชัดเจนต่อผู้ใช้งาน
4. หลีกเลี่ยงการใช้ตัวเลขหรือรหัสที่ไม่จำเป็น
URL ที่ประกอบด้วยตัวเลขหรือรหัสที่ไม่มีความหมาย อาจทำให้ผู้ใช้และ Google สับสน เช่น:
ไม่ควรใช้:www.example.com/post/12345
ควรใช้:www.example.com/รีวิวร้านอาหารเชียงใหม่
เพราะ URL ที่บอกชัดว่าเกี่ยวกับอะไรจะช่วยเพิ่มโอกาสในการคลิกเข้าชม
5. หลีกเลี่ยงคำฟุ่มเฟือยและ Stop Words
Stop Words คือคำทั่ว ๆ ไปที่มักไม่มีความหมายเฉพาะในเชิงการค้นหา เช่น “the”, “is”, “in”, “at”, “of”, “and”, “a” ในภาษาอังกฤษ หรือคำในภาษาไทยอย่าง “ที่”, “ใน”, “แล้ว”, “และ”, “ของ”, “คือ” คำเหล่านี้แม้จะมีความจำเป็นในประโยคทั่วไป แต่ใน URL มักไม่ช่วยเพิ่มคุณค่าเชิง SEO และยังทำให้ URL ยาวเกินจำเป็น
การตัด Stop Words ออกจาก URL จะช่วยให้ URL กระชับ เข้าใจง่าย และช่วยให้เสิร์ชเอนจินเน้นคีย์เวิร์ดสำคัญได้ดีขึ้น
ตัวอย่างในภาษาอังกฤษ:
เนื้อหา:
“How to Optimize Images for SEO”
ไม่ควรใช้ URL:www.example.com/how-to-optimize-images-for-seo
ควรใช้ URL:www.example.com/optimize-images-seo
แม้ URL แรกจะสมบูรณ์ในเชิงประโยค แต่คำว่า “how”, “to”, “for” เป็น Stop Words ที่สามารถละออกได้ โดยไม่กระทบต่อความเข้าใจในความหมายหลัก
ตัวอย่างในภาษาไทย:
เนื้อหา:
“วิธีการดูแลสุขภาพในช่วงหน้าหนาว”
ไม่ควรใช้ URL:www.example.com/วิธีการดูแลสุขภาพในช่วงหน้าหนาว
ควรใช้ URL:www.example.com/ดูแลสุขภาพหน้าหนาว
คำว่า “วิธีการ”, “ในช่วง” เป็นคำฟุ่มเฟือยที่สามารถตัดออกได้ โดยยังคงเนื้อหาหลักของคำว่า “ดูแลสุขภาพหน้าหนาว” ซึ่งเป็นคำที่มีความหมายชัดเจนมากกว่า
ข้อควรระวัง
แม้จะหลีกเลี่ยง Stop Words แต่ก็ไม่ควรตัดมากเกินไปจน URL ดูไม่สมบูรณ์หรือทำให้ความหมายคลุมเครือ ควรรักษาความชัดเจนเป็นหลัก และตัดเฉพาะคำที่ไม่จำเป็นเท่านั้น
6. ใช้อักษรตัวพิมพ์เล็กเสมอ
การใช้อักษรพิมพ์เล็กใน URL เป็นแนวทางที่ปลอดภัยและสม่ำเสมอ เพราะบางระบบเซิร์ฟเวอร์แยกระหว่างตัวพิมพ์เล็กและพิมพ์ใหญ่ เช่น:
www.example.com/Page
และ www.example.com/page
อาจพาไปคนละหน้า
ดังนั้นควรตั้ง URL ให้เป็นตัวพิมพ์เล็กทั้งหมดเพื่อหลีกเลี่ยงความสับสน
7. หลีกเลี่ยงอักขระพิเศษและสัญลักษณ์
ในการตั้งชื่อ URL เพื่อให้เหมาะสมกับ SEO ควรหลีกเลี่ยงการใช้อักขระพิเศษและสัญลักษณ์ต่าง ๆ เช่น ?
, &
, %
, =
, #
, @
, !
, และอักขระอื่นที่ไม่ใช่ตัวอักษรหรือตัวเลข เนื่องจากอักขระเหล่านี้อาจทำให้ URL อ่านยาก ไม่เป็นมิตรกับผู้ใช้ และบางครั้งอาจทำให้เสิร์ชเอนจินสับสน
อักขระพิเศษมักถูกใช้ใน URL ที่สร้างขึ้นแบบไดนามิกโดยระบบ เช่น การกรองสินค้า การค้นหาข้อมูล หรือการเรียกดูหน้าเฉพาะ ซึ่งอาจเหมาะกับการทำงานภายในระบบ แต่ไม่เหมาะสำหรับ SEO หรือการแชร์ต่อภายนอก เพราะไม่สามารถสื่อความหมายของเนื้อหาได้ชัดเจน
ตัวอย่าง URL ที่ไม่ควรใช้:
-
www.example.com/product?id=2981&ref=homepage
-
www.example.com/blog?title=วิธี%ปลูกต้นไม้@ในบ้าน
ตัวอย่าง URL ที่ควรใช้แทน:
-
www.example.com/สินค้า/เก้าอี้ไม้แท้
-
www.example.com/บทความ/วิธีปลูกต้นไม้ในบ้าน
URL ที่สะอาดและไม่มีอักขระพิเศษจะส่งผลดีต่อการจัดอันดับในเครื่องมือค้นหา และยังช่วยให้ผู้ใช้งานเข้าใจเนื้อหาของหน้าได้ทันที เพิ่มโอกาสในการคลิกเข้าอ่าน และง่ายต่อการแชร์ลิงก์ต่อไปยังช่องทางต่าง ๆ
หากหลีกเลี่ยงอักขระพิเศษไม่ได้ เช่น ในกรณีของเว็บไซต์ที่มีระบบกรองหรือค้นหา ควรพิจารณาใช้โครงสร้าง URL ที่แยกส่วนสำหรับ SEO โดยเฉพาะ เช่น การสร้างหน้าแยกสำหรับหัวข้อยอดนิยมหรือบทความหลักที่มี URL สะอาดและเน้นคีย์เวิร์ดสำคัญ
สรุป
การตั้งชื่อ URL ที่ดีต่อ SEO คือการผสมผสานระหว่างความเรียบง่าย ความชัดเจน และการใช้คีย์เวิร์ดอย่างมีประสิทธิภาพ URL ที่ดีควรเข้าใจได้ง่าย สั้น มีโครงสร้างที่เป็นระเบียบ และสะท้อนถึงเนื้อหาของหน้าเว็บอย่างตรงไปตรงมา เมื่อคุณตั้งชื่อ URL อย่างเหมาะสมตั้งแต่แรก จะช่วยสร้างรากฐานที่มั่นคงให้กับ SEO และประสบการณ์ของผู้ใช้ในระยะยาว