ในยุคดิจิทัลที่พฤติกรรมผู้บริโภคเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว ธุรกิจที่ต้องการเติบโตจำเป็นต้องมีตัวตนบนโลกออนไลน์ และ “เว็บไซต์” กลายเป็นเครื่องมือสำคัญที่ช่วยสร้างโอกาสทางธุรกิจ ไม่ว่าจะเป็นการเพิ่มการเข้าถึงลูกค้า การสร้างแบรนด์ หรือการเพิ่มยอดขาย
ธุรกิจที่สามารถใช้เว็บไซต์ได้อย่างมีประสิทธิภาพไม่เพียงแต่ทำให้ลูกค้าค้นพบสินค้าและบริการได้ง่ายขึ้น แต่ยังช่วยสร้างประสบการณ์การใช้งานที่ดี ทำให้เกิดความไว้วางใจและความภักดีต่อแบรนด์ ในบทความนี้ เราจะพาไปดูกรณีศึกษาของธุรกิจที่สามารถเติบโตได้จากการใช้เว็บไซต์เป็นหัวใจหลักของกลยุทธ์ พร้อมวิเคราะห์แนวทางที่นำไปสู่ความสำเร็จ ซึ่งสามารถเป็นแนวทางให้กับธุรกิจที่ต้องการขยายตลาดออนไลน์ของตนเอง
กรณีศึกษา: Warby Parker – พลิกโฉมการขายแว่นตาผ่านออนไลน์
1. ภาพรวมธุรกิจ
Warby Parker ก่อตั้งขึ้นในปี 2010 โดยนักศึกษาจาก Wharton School แห่งมหาวิทยาลัยเพนซิลเวเนีย ได้แก่ Neil Blumenthal, Andrew Hunt, David Gilboa และ Jeffrey Raider พวกเขาเล็งเห็นถึงปัญหาของอุตสาหกรรมแว่นตาที่มีราคาสูงเกินจริง เนื่องจากตลาดถูกควบคุมโดยบริษัทขนาดใหญ่เพียงไม่กี่ราย ทำให้พวกเขาตัดสินใจสร้างแบรนด์ที่สามารถนำเสนอแว่นตาคุณภาพดีในราคาที่เข้าถึงได้ โดยใช้โมเดลธุรกิจแบบ Direct-to-Consumer (DTC)
แทนที่จะขายแว่นตาผ่านร้านค้าปลีก Warby Parker เลือกที่จะขายผ่านช่องทางออนไลน์โดยตรง ช่วยลดต้นทุนจากตัวกลางและสามารถควบคุมคุณภาพการผลิตได้เอง พวกเขามีเป้าหมายชัดเจนในการทำให้การซื้อแว่นตาเป็นเรื่องง่าย สะดวก และราคาไม่แพงสำหรับทุกคน
นอกจากนี้ Warby Parker ยังมีพันธกิจเพื่อสังคม โดยใช้โมเดล “Buy a Pair, Give a Pair” ซึ่งหมายความว่า ทุกครั้งที่ลูกค้าซื้อแว่นตาหนึ่งคู่ บริษัทจะบริจาคแว่นตาหนึ่งคู่ให้กับผู้ที่ขาดแคลนผ่านองค์กรพันธมิตร กลยุทธ์นี้ไม่เพียงช่วยสร้างภาพลักษณ์เชิงบวกให้กับแบรนด์ แต่ยังช่วยกระตุ้นให้ลูกค้ารู้สึกว่าการซื้อสินค้าจาก Warby Parker เป็นการสนับสนุนโครงการที่ดีต่อสังคม
แม้ว่า Warby Parker จะเริ่มต้นจากการขายออนไลน์เป็นหลัก แต่เมื่อธุรกิจเติบโตขึ้น บริษัทได้ขยายไปสู่การเปิดร้านค้าปลีกในหลายเมืองทั่วสหรัฐอเมริกา โดยยังคงให้ความสำคัญกับประสบการณ์ของลูกค้าเป็นหลัก เช่น การออกแบบร้านให้มีบรรยากาศเป็นกันเอง หรือการให้บริการวัดสายตาภายในร้าน เพื่อเสริมช่องทางการขายแบบออฟไลน์ให้แข็งแกร่งขึ้น
ด้วยกลยุทธ์ที่มุ่งเน้นไปที่ลูกค้า ผสมผสานกับการใช้เทคโนโลยีที่ทันสมัย และการตลาดที่สร้างความแตกต่าง Warby Parker ได้กลายเป็นหนึ่งในแบรนด์แว่นตาที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดในยุคดิจิทัล และยังคงเป็นตัวอย่างที่ดีของการใช้เว็บไซต์เป็นเครื่องมือสำคัญในการขยายธุรกิจ
2. กลยุทธ์การใช้เว็บไซต์อย่างมีประสิทธิภาพ
Warby Parker ใช้เว็บไซต์เป็นศูนย์กลางของธุรกิจ โดยผสานเทคโนโลยีและกลยุทธ์ทางการตลาดเข้าด้วยกันเพื่อสร้างประสบการณ์ที่ดีที่สุดให้กับลูกค้า นี่คือกลยุทธ์สำคัญที่ทำให้เว็บไซต์ของ Warby Parker กลายเป็นเครื่องมือขับเคลื่อนธุรกิจ
1. การออกแบบเว็บไซต์ให้ใช้งานง่ายและน่าเชื่อถือ
เว็บไซต์ของ Warby Parker ถูกออกแบบให้เรียบง่าย สะอาดตา และใช้งานง่าย ลูกค้าสามารถค้นหาแว่นตาที่ต้องการได้อย่างรวดเร็วผ่าน ระบบกรอง (Filter System) ที่ช่วยแสดงผลแว่นตาตามรูปทรง สี และขนาด นอกจากนี้ หน้าสินค้าแต่ละชิ้นยังมี ภาพถ่ายคุณภาพสูงและวิดีโอ แสดงสินค้าในหลายมุมมอง ทำให้ลูกค้ารู้สึกมั่นใจมากขึ้นก่อนตัดสินใจซื้อ
นอกจากนี้ เว็บไซต์ยังมีระบบ Live Chat และ AI Chatbot ที่ช่วยให้ลูกค้าสามารถสอบถามข้อมูลเกี่ยวกับสินค้าได้ตลอด 24 ชั่วโมง ซึ่งช่วยเพิ่มความสะดวกและลดอัตราการละทิ้งสินค้าในตะกร้า
2. ระบบทดลองแว่นตาที่บ้าน (Home Try-On Program)
หนึ่งในกลยุทธ์ที่โดดเด่นที่สุดของ Warby Parker คือ Home Try-On Program ซึ่งช่วยลดอุปสรรคในการซื้อแว่นตาออนไลน์ โดยลูกค้าสามารถเลือกแว่นตา 5 แบบ ผ่านเว็บไซต์ และ Warby Parker จะจัดส่งให้ลูกค้าทดลองใส่ที่บ้านเป็นเวลา 5 วัน โดยไม่มีค่าใช้จ่าย หลังจากนั้น ลูกค้าสามารถส่งคืนแว่นตาพร้อมเลือกแบบที่ต้องการซื้อได้
กลยุทธ์นี้ช่วยให้ลูกค้ารู้สึกมั่นใจมากขึ้น และลดความเสี่ยงในการซื้อผิดแบบ นอกจากนี้ Warby Parker ยังใช้ข้อมูลจากโปรแกรมนี้เพื่อนำไปปรับปรุงการออกแบบแว่นตาและประสบการณ์ของลูกค้า
3. เทคโนโลยี Virtual Try-On (ลองแว่นผ่านระบบเสมือนจริง)
เพื่อตอบโจทย์ลูกค้าที่ไม่สะดวกใช้บริการ Home Try-On Warby Parker ได้พัฒนา เทคโนโลยี Virtual Try-On ผ่านแอปพลิเคชันบน iOS และ Android โดยใช้ Augmented Reality (AR) และ Machine Learning เพื่อให้ลูกค้าสามารถลองแว่นตาแบบเรียลไทม์ผ่านกล้องมือถือ
ฟีเจอร์นี้ช่วยให้ลูกค้าสามารถเห็นว่าแว่นตาจะดูเป็นอย่างไรบนใบหน้าของพวกเขาจริง ๆ ก่อนตัดสินใจซื้อ เทคโนโลยีนี้ไม่เพียงช่วยเพิ่มประสบการณ์ที่ดีขึ้นให้กับลูกค้า แต่ยังลดอัตราการคืนสินค้า ซึ่งเป็นปัญหาสำคัญของธุรกิจ E-commerce
4. การตลาดเนื้อหา (Content Marketing) และ SEO
Warby Parker ใช้ กลยุทธ์การตลาดผ่านเนื้อหา (Content Marketing) และ SEO (Search Engine Optimization) เพื่อเพิ่มการเข้าถึงของเว็บไซต์ โดยเนื้อหาที่ผลิตขึ้นประกอบด้วย
- บล็อกเกี่ยวกับแว่นตาและสุขภาพดวงตา – เช่น วิธีเลือกแว่นให้เหมาะกับรูปหน้า หรือเทรนด์แว่นตาล่าสุด
- วิดีโอรีวิวสินค้า – รีวิวแว่นตาแต่ละรุ่นเพื่อให้ลูกค้าเข้าใจรายละเอียดมากขึ้น
- SEO Optimization – การใช้คีย์เวิร์ดที่เกี่ยวข้องกับแว่นตาเพื่อให้เว็บไซต์ติดอันดับต้น ๆ บน Google
การใช้ SEO ทำให้ Warby Parker สามารถดึงดูดลูกค้าใหม่ ๆ ได้โดยไม่ต้องพึ่งพาการโฆษณาที่มีค่าใช้จ่ายสูง
5. การใช้ข้อมูลลูกค้าเพื่อปรับปรุงประสบการณ์ (Customer Data & Personalization)
Warby Parker ใช้ Big Data และ AI เพื่อวิเคราะห์พฤติกรรมของลูกค้าบนเว็บไซต์ เช่น แว่นตาที่ลูกค้ากดดูบ่อยที่สุด การทดลองใช้ Virtual Try-On หรือพฤติกรรมการซื้อ จากนั้นนำข้อมูลเหล่านี้มาปรับปรุงการนำเสนอสินค้าและพัฒนาโปรโมชั่นให้เหมาะกับแต่ละบุคคล
ตัวอย่างการนำข้อมูลมาใช้ ได้แก่
- การแนะนำสินค้าอัตโนมัติ (Personalized Recommendations) – ระบบ AI จะแนะนำแว่นตาที่เหมาะสมกับลูกค้าตามพฤติกรรมการเลือกสินค้า
- การส่งอีเมลแจ้งเตือน (Cart Abandonment Emails) – หากลูกค้าเพิ่มสินค้าในตะกร้าแต่ยังไม่กดซื้อ ระบบจะส่งอีเมลแจ้งเตือนพร้อมข้อเสนอพิเศษเพื่อกระตุ้นการตัดสินใจ
6. การออกแบบเว็บไซต์ให้รองรับการใช้งานบนมือถือ (Mobile Optimization)
Warby Parker ออกแบบเว็บไซต์ให้รองรับการใช้งานบนมือถือ (Mobile-Friendly Website) เนื่องจากลูกค้าส่วนใหญ่มักค้นหาข้อมูลและซื้อสินค้าผ่านสมาร์ทโฟน เว็บไซต์จึงถูกออกแบบให้โหลดเร็ว ใช้งานง่าย และมีฟีเจอร์ที่เหมาะสมกับหน้าจอขนาดเล็ก
นอกจากนี้ ยังมี แอปพลิเคชันมือถือ ที่ช่วยให้ลูกค้าสามารถทดลองแว่นผ่าน Virtual Try-On ติดตามคำสั่งซื้อ และเข้าถึงโปรโมชั่นพิเศษได้ง่ายขึ้น
7. การใช้ Social Proof และรีวิวลูกค้าเพื่อสร้างความน่าเชื่อถือ
Warby Parker ใช้ รีวิวจากลูกค้า (Customer Reviews) และ Social Proof เพื่อช่วยเพิ่มความมั่นใจให้กับลูกค้าใหม่ เช่น
- แสดงคะแนนรีวิวและความคิดเห็นจากลูกค้าบนหน้าเว็บไซต์
- มีวิดีโอจากผู้ใช้จริงที่รีวิวแว่นตาแต่ละรุ่น
- การใช้ UGC (User-Generated Content) โดยให้ลูกค้าโพสต์ภาพของตนเองขณะใส่แว่น Warby Parker ลงบนโซเชียลมีเดีย พร้อมติดแฮชแท็กของแบรนด์
กลยุทธ์นี้ช่วยสร้างความน่าเชื่อถือให้กับแบรนด์และกระตุ้นให้เกิดการซื้อจากลูกค้าใหม่
สรุปกลยุทธ์สำคัญที่ช่วยให้ Warby Parker เติบโตผ่านเว็บไซต์
- ออกแบบเว็บไซต์ให้ใช้งานง่ายและตอบโจทย์ลูกค้า – มีระบบกรองสินค้าและภาพแสดงรายละเอียดสินค้าอย่างครบถ้วน
- สร้างประสบการณ์การซื้อที่แตกต่าง – มี Home Try-On และ Virtual Try-On เพื่อให้ลูกค้าตัดสินใจซื้อได้ง่ายขึ้น
- ใช้ Content Marketing และ SEO ดึงดูดลูกค้า – ผลิตเนื้อหาที่มีคุณภาพและใช้เทคนิค SEO เพื่อเพิ่มการเข้าถึง
- วิเคราะห์ข้อมูลลูกค้าและปรับแต่งการนำเสนอสินค้า – ใช้ AI และ Big Data เพื่อแนะนำแว่นตาที่เหมาะสมกับลูกค้าแต่ละคน
- ทำให้เว็บไซต์รองรับมือถือ – ปรับแต่งให้โหลดเร็ว ใช้งานง่าย และพัฒนาแอปพลิเคชันเพื่อเพิ่มความสะดวก
- ใช้รีวิวและ Social Proof เพื่อสร้างความน่าเชื่อถือ – แสดงรีวิวลูกค้าบนเว็บไซต์และสนับสนุนให้ผู้ใช้โพสต์ประสบการณ์จริง
ด้วยการใช้กลยุทธ์เหล่านี้ Warby Parker สามารถขยายธุรกิจจากแบรนด์เล็ก ๆ ที่เริ่มต้นขายออนไลน์ไปสู่บริษัทมูลค่าหลายพันล้านดอลลาร์ที่มีทั้งช่องทางออนไลน์และร้านค้าปลีกทั่วสหรัฐฯ ถือเป็นตัวอย่างที่ดีของธุรกิจที่ใช้เว็บไซต์เป็นเครื่องมือหลักในการสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืน
ผลลัพธ์และบทเรียนที่ได้รับ
การใช้เว็บไซต์อย่างมีประสิทธิภาพช่วยให้ Warby Parker เติบโตจากธุรกิจสตาร์ทอัพเล็ก ๆ ไปสู่แบรนด์แว่นตาชั้นนำระดับโลก นี่คือผลลัพธ์ที่เกิดขึ้น และบทเรียนสำคัญที่ธุรกิจอื่นสามารถนำไปปรับใช้ได้
ผลลัพธ์ที่ Warby Parker ได้รับ
1. การเติบโตอย่างรวดเร็วและความสำเร็จทางธุรกิจ
- Warby Parker เปิดตัวในปี 2010 และภายในปีแรกสามารถขายแว่นตาได้ถึง 20,000 คู่
- ปัจจุบัน บริษัทมีมูลค่ากว่า 3 พันล้านดอลลาร์ และจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ (NYSE)
- สามารถขยายธุรกิจจาก ร้านค้าออนไลน์ สู่ ร้านค้าปลีกกว่า 200 แห่ง ทั่วสหรัฐอเมริกาและแคนาดา
2. อัตราการมีส่วนร่วมของลูกค้าสูง (High Customer Engagement)
- ระบบ Home Try-On ดึงดูดลูกค้าให้ทดลองใช้แว่นตาได้โดยไม่มีความเสี่ยง ทำให้ลูกค้ากล้าลองสินค้าและตัดสินใจซื้อได้ง่ายขึ้น
- เทคโนโลยี Virtual Try-On บนมือถือช่วยให้ลูกค้าสะดวกขึ้น ส่งผลให้ยอดขายจากช่องทางออนไลน์เพิ่มขึ้น
- มีอัตราการกลับมาซื้อซ้ำสูง เนื่องจากลูกค้าพึงพอใจกับคุณภาพสินค้าและประสบการณ์การใช้งานเว็บไซต์
3. ความสำเร็จในการทำการตลาดออนไลน์และ SEO
- Warby Parker ใช้กลยุทธ์ SEO และ Content Marketing ทำให้เว็บไซต์ติดอันดับแรก ๆ บน Google เมื่อค้นหาคำเกี่ยวกับแว่นตา
- การตลาดผ่าน UGC (User-Generated Content) และรีวิวลูกค้า ช่วยสร้างความน่าเชื่อถือและทำให้แบรนด์เป็นที่รู้จักในวงกว้าง
- การใช้ Social Media Marketing ช่วยดึงดูดกลุ่มลูกค้าหน้าใหม่ โดยเฉพาะกลุ่ม Millennials และ Gen Z
4. การลดต้นทุนและเพิ่มกำไรโดยไม่พึ่งพาตัวกลาง
- โมเดล Direct-to-Consumer (DTC) ทำให้ Warby Parker สามารถขายสินค้าในราคาที่ถูกกว่าคู่แข่ง โดยยังคงคุณภาพสูง
- การใช้ Big Data วิเคราะห์พฤติกรรมลูกค้า ทำให้สามารถคาดการณ์แนวโน้มตลาด และจัดการสต็อกสินค้าได้อย่างมีประสิทธิภาพ
5. ความสำเร็จของโครงการเพื่อสังคม (Social Impact)
- ผ่านโครงการ “Buy a Pair, Give a Pair” Warby Parker ได้บริจาคแว่นตากว่า 10 ล้านคู่ ให้กับผู้ที่ขาดแคลนทั่วโลก
- โมเดลธุรกิจที่มีความรับผิดชอบต่อสังคมช่วยสร้างภาพลักษณ์ที่ดีให้กับแบรนด์ และเพิ่มความภักดีของลูกค้า (Brand Loyalty)
บทเรียนสำคัญที่ธุรกิจสามารถนำไปปรับใช้
1. เว็บไซต์ไม่ใช่แค่หน้าร้านออนไลน์ แต่ต้องเป็นเครื่องมือสร้างประสบการณ์ที่ดีให้กับลูกค้า
Warby Parker ไม่ได้มองว่าเว็บไซต์เป็นแค่ช่องทางขายสินค้า แต่เป็น แพลตฟอร์มที่ช่วยให้ลูกค้าได้รับประสบการณ์ที่ดีที่สุด ดังนั้น ธุรกิจที่ต้องการเติบโตผ่านออนไลน์ ควรให้ความสำคัญกับ UX/UI Design และ ฟีเจอร์ที่ช่วยอำนวยความสะดวกให้ลูกค้า
สิ่งที่ธุรกิจสามารถนำไปใช้
ออกแบบเว็บไซต์ให้ใช้งานง่าย โหลดเร็ว และรองรับมือถือ
เพิ่มเครื่องมือช่วยตัดสินใจ เช่น ระบบแนะนำสินค้า หรือ Chatbot
ใช้ภาพสินค้าและวิดีโอที่ชัดเจนเพื่อให้ลูกค้าเข้าใจสินค้าได้ดีขึ้น
2. การใช้เทคโนโลยีช่วยลดอุปสรรคในการซื้อของออนไลน์
หนึ่งในอุปสรรคสำคัญของการขายแว่นตาออนไลน์ คือ ลูกค้าไม่สามารถลองใส่ได้ Warby Parker แก้ปัญหานี้ด้วย Home Try-On และ Virtual Try-On ทำให้ลูกค้าสามารถทดสอบสินค้าได้ก่อนตัดสินใจซื้อ
สิ่งที่ธุรกิจสามารถนำไปใช้
ใช้ Augmented Reality (AR) หรือ AI เพื่อช่วยให้ลูกค้าทดลองสินค้าออนไลน์
เสนอ บริการคืนสินค้า/ทดลองใช้ฟรี เพื่อเพิ่มความมั่นใจให้ลูกค้า
ใช้ Machine Learning วิเคราะห์พฤติกรรมลูกค้าเพื่อแนะนำสินค้าที่เหมาะสม
3. Content Marketing และ SEO เป็นกลยุทธ์ที่ช่วยเพิ่มยอดขายได้อย่างยั่งยืน
Warby Parker ใช้กลยุทธ์ SEO และการตลาดผ่านเนื้อหา เพื่อดึงดูดลูกค้าโดยไม่ต้องพึ่งโฆษณาที่มีค่าใช้จ่ายสูง การสร้างเนื้อหาที่มีประโยชน์ช่วยให้แบรนด์เป็นที่รู้จักและเพิ่มความน่าเชื่อถือ
สิ่งที่ธุรกิจสามารถนำไปใช้
เขียนบทความเกี่ยวกับสินค้าหรือปัญหาของลูกค้า เพื่อเพิ่มการเข้าถึงผ่าน Google
ใช้ วิดีโอรีวิวสินค้า และ UGC (User-Generated Content) เพื่อสร้างความน่าเชื่อถือ
ทำ Email Marketing เพื่อรักษาความสัมพันธ์กับลูกค้าเก่า
4. การใช้ข้อมูลลูกค้า (Data-Driven Approach) ช่วยให้ธุรกิจเติบโตได้เร็วขึ้น
Warby Parker ใช้ Big Data วิเคราะห์พฤติกรรมลูกค้าเพื่อนำเสนอสินค้าที่ตรงกับความต้องการมากขึ้น รวมถึงปรับแต่งประสบการณ์ของลูกค้าให้เป็นแบบ Personalized
สิ่งที่ธุรกิจสามารถนำไปใช้
- วิเคราะห์ข้อมูลลูกค้า เช่น การเข้าชมเว็บไซต์หรือพฤติกรรมการซื้อ เพื่อปรับกลยุทธ์การตลาด
- ใช้ AI และ Machine Learning เพื่อแนะนำสินค้าที่เหมาะกับลูกค้าแต่ละคน
- ใช้ Automated Email Marketing เพื่อส่งข้อเสนอพิเศษตามพฤติกรรมของลูกค้า
5. ธุรกิจที่มีพันธกิจเพื่อสังคมมักได้รับการสนับสนุนจากลูกค้า
Warby Parker ไม่เพียงขายแว่นตา แต่ยังสร้างความเปลี่ยนแปลงให้กับสังคมผ่านโครงการ Buy a Pair, Give a Pair สิ่งนี้ช่วยสร้าง Brand Loyalty และทำให้ลูกค้ารู้สึกดีเมื่อซื้อสินค้า
สิ่งที่ธุรกิจสามารถนำไปใช้
คิดค้นโครงการเพื่อสังคมที่เชื่อมโยงกับแบรนด์ เช่น การบริจาค หรือโครงการรักษาสิ่งแวดล้อม
สร้างแคมเปญการตลาดที่เน้นความรับผิดชอบต่อสังคม เพื่อดึงดูดลูกค้าที่มีแนวคิดเดียวกัน
ความสำเร็จของ Warby Parker แสดงให้เห็นว่า เว็บไซต์ที่ดีเป็นมากกว่าช่องทางขายสินค้า แต่ต้องเป็นเครื่องมือที่ช่วยให้ลูกค้าได้รับประสบการณ์ที่ดีที่สุด พร้อมทั้งใช้เทคโนโลยีและข้อมูลเพื่อพัฒนาธุรกิจให้เติบโตอย่างยั่งยืน
หากธุรกิจต้องการขยายตลาดผ่านออนไลน์ ควรให้ความสำคัญกับ
- UX/UI ที่ดี เพื่อให้เว็บไซต์ใช้งานง่าย
- เทคโนโลยีช่วยลดอุปสรรคในการซื้อ เช่น AR หรือ AI
- Content Marketing และ SEO เพื่อเพิ่มการเข้าถึง
- การใช้ Big Data วิเคราะห์ลูกค้า เพื่อสร้างประสบการณ์แบบ Personalized
- พันธกิจเพื่อสังคม เพื่อเพิ่มคุณค่าของแบรนด์
เมื่อธุรกิจสามารถนำกลยุทธ์เหล่านี้ไปใช้ได้อย่างเหมาะสม ก็จะสามารถสร้างการเติบโตในโลกดิจิทัลได้อย่างยั่งยืน
บทสรุป
จากกรณีศึกษาของ Warby Parker จะเห็นได้ว่าเว็บไซต์ที่มีประสิทธิภาพสามารถเป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยให้ธุรกิจเติบโตได้อย่างก้าวกระโดด ไม่ว่าจะเป็นการออกแบบให้ใช้งานง่าย การใช้เทคโนโลยีเข้ามาช่วยสร้างประสบการณ์ที่ดีขึ้น หรือการทำการตลาดผ่านเนื้อหาและ SEO เพื่อนำพาลูกค้าเข้ามายังแพลตฟอร์มของตน
บทเรียนสำคัญที่ธุรกิจสามารถนำไปปรับใช้ ได้แก่ การให้ความสำคัญกับประสบการณ์ของผู้ใช้ (User Experience) การใช้ข้อมูลลูกค้าในการพัฒนากลยุทธ์ และการนำเสนอคุณค่าในรูปแบบที่แตกต่างจากคู่แข่ง การมีเว็บไซต์ที่ดีไม่ใช่เพียงการสร้างหน้าร้านออนไลน์ แต่ต้องเป็นช่องทางที่ช่วยให้ลูกค้าได้รับประสบการณ์ที่ดีที่สุด เพื่อสร้างความเชื่อมั่นและผลักดันให้เกิดการซื้อซ้ำ ธุรกิจที่ต้องการประสบความสำเร็จในยุคดิจิทัลจึงไม่สามารถมองข้ามความสำคัญของเว็บไซต์ได้ หากสามารถใช้แพลตฟอร์มนี้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ก็ย่อมมีโอกาสสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืนในโลกออนไลน์